นโยบายค่าจ้างเป้าหมายวันละ 400 บาทไม่ตอบโจทย์ฟื้นเศรษฐกิจ

โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

ในการอภิปรายนโยบายรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน การปรับค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้บรรจุไว้ชัดเจนแต่หลังจากถูกฝ่ายค้านระบุว่าไม่ตรงปก นายกรัฐมนตรีได้แถลงว่ารัฐบาลจะดำเนินการเจรจากับคณะกรรมการค่าจ้างหรือไตรภาคีเพื่อปรับค่าจ้างขั้นต่ำโดยมีเป้าหมายวันละ 400 บาทโดยเร็วที่สุด ปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำที่ใช้อยู่มี 3 อัตราอยู่ในช่วง 352 บาทถึง 354 บาทต่อวัน หากใช้ค่าจ้างกทม.และปริมณฑลเป็นฐานหากปรับตามที่ระบุข้างต้นจะสูงขึ้นประมาณร้อยละ 13.1 หรือเพิ่มขึ้นวันละ 47 บาท หากนายจ้างที่มีการจ้างงาน 100 คนจะมีต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1.7 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรับสูงขึ้นเกี่ยวข้องกับความสามารถของนายจ้างที่มีศักยภาพที่แตกต่างกัน ข้อมูล ณ สิ้นปีพ.ศ. 2565 มีสถานประกอบการทั่วประเทศที่จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ประมาณ 8.504 แสนกิจการ ส่วนใหญ่เป็นรายย่อยและ SMEs รวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 89 ที่เหลือเป็นขนาดใหญ่และขนาดใหญ่มากมีบริษัทมหาชนจำนวน 1,382 กิจการคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.16 จำนวนแรงงานนอกภาคเกษตรที่ทำงานในภาคเอกชนมีจำนวนประมาณ 23.3 – 24 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 จำนวน 11.51 ล้านคน

องค์การภาคเอกชนต่างออกมาแสดงความกังวลไม่เห็นด้วย เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ฯลฯ โดยระบุว่าค่าจ้างที่ปรับสูงขึ้นจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและต้นทุนของสถานประกอบการต่างๆ ที่อยู่ในภาคบริการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและ SMEs ภาคเอกชนขอให้รัฐบาลทบทวนอัตราค่าจ้างควรเป็นตัวเลขที่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและไม่ควรปรับค่าจ้างเท่ากันทั้งประเทศ การปรับค่าจ้างที่สูงจะส่งผลข้างเคียงเกี่ยวข้องกับค่าครองชีพของประชาชนที่สูงขึ้น ปัจจุบันสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในสภาพอ่อนแอจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและการส่งออกหดตัวขณะที่ภาคท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวอย่างเป็นนัยแต่จำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเพียง 3 ใน 4 จากปีปกติก่อนโควิด-19 ระบาด

ฉากทัศน์เศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลต่อกำลังซื้อที่หดหายไป ขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงโหมด “Recession” หรือเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจหดตัวและจะรุนแรงมากขึ้นในปีหน้ากระทบต่อภาคส่งออกและโซ่อุปทานล้วนอยู่ในภาวะรายได้ลดลง ผู้ประกอบการจำนวนมากติดอยู่ใน NPL หรือลูกหนี้รหัส 21 ซึ่งขาดการส่งต้นและดอกเบี้ยตามเกณฑ์ของสถาบันการเงิน กลุ่มเหล่านี้อยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ การปรับค่าจ้างที่ไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอยู่ในช่วงจังหวะที่นายจ้างบางส่วนกำลังลุ้นว่าจะรอดหรือไม่รอด นายจ้างเข้าใจดีว่าค่าจ้างที่สูงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่รวมถึงการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยแต่สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อ องค์กรเอกชนและนายจ้างต่างอยากให้รัฐบาลช่วยทบทวนการปรับค่าจ้างในอัตราและช่วงเวลาที่เหมาะสม

ประเด็นที่ยังคลุมเครือการปรับค่าจ้างครั้งนี้เป็นการปรับอัตราเดียวกันทั่วประเทศหรือปรับเป็นกลุ่มจังหวัดอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในความเห็นของผู้เขียนพรรคเพื่อไทยเมื่อปีพ.ศ. 2556 เคยประกาศนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาททุกจังหวัดเท่ากันครั้งนี้คงไม่แตกต่างกัน ค่าจ้างเท่ากันทั่วประเทศส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำด้านการกระจายรายได้ทำให้การลงทุนจะกระจุกตัวในพื้นที่เศรฐกิจที่เป็นศูนย์กลางของประเทศซึ่งมีต้นทุนโลจิสติกส์ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในพื้นที่จังหวัดที่ห่างไกล จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนโรงงานทั่วประเทศมีประมาณ 73,232 กิจการ (ณ สิ้นปี พ.ศ. 2565) โรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กทม.- ปริมณฑลและพื้นที่ EEC คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 58 ขณะที่การจ้างแรงงานเชิงปริมาณอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 66.8 ของการจ้างงานทั่วประเทศ

ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นการกระจุกตัวของแหล่งจ้างงานอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและใกล้ท่าเรือหลักของประเทศซึ่งมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนขนส่งและการเข้าถึงตลาด การที่มีค่าจ้างที่แตกต่างไปตามสภาพเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่จะทำให้เป็นการเพิ่มแต้มต่อด้านขนส่งและจูงใจให้เกิดการกระจายการลงทุนไปในพื้นที่จังหวัดที่ห่างไกล ประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ล้วนมีค่าจ้างที่ต่างกัน เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา อียู จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ อีกประการหนึ่งที่ขอติงไปยังรัฐบาลค่าจ้างระดับปริญญาตรีไม่ควรประกาศเป็น “Minimum Wage” เนื่องจากค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างที่คุ้มครองแรงงานกลุ่มเปราะบางเป็นค่าจ้างแรกเข้าไม่มีการเลือกปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ความพิการ การศึกษา ศาสนาและใช้กับ
แรงงานต่างด้าว

ที่ต้องติงอีกประการหนึ่งการปรับค่าแรงระดับปริญญาตรีเป็นผู้มีการศึกษาเป็นแรงงานทักษะ ปัจจุบันผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคิดเป็นร้อยละ 53.8 ของผู้สำเร็จการศึกษาที่เข้าสู่ตลาดแรงงาน อัตราค่าจ้างปัจจุบันแรกเข้าอยู่ที่ระดับ 12,000 – 15,000 บาท หากปรับแบบก้าวกระโดดเป็น 25,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 66.7 – 108 จะเป็นปัจจัยทำให้บัณฑิตจบใหม่อาจตกงานมากขึ้นอีกทั้งจำนวนผู้เข้าไปศึกษาสายอาชีพจะมีจำนวนลดลง ปัจจุบันแรงงานระดับปฏิบัติการมีการขาดแคลนอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงส่งผลต่อโครงสร้างกำลังแรงงานของชาติในอนาคตและทำให้จำเป็นต้องจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มมากขึ้นซึ่งปัจจุบันแรงงานถูกกฎหมายมีจำนวน 2.766 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.89 ของกำลังแรงงานทั้งหมด

การปรับค่าจ้างสูงย่อมทำให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็นการเพิ่มกำลังซื้อส่งผลต่อเศรษฐกิจแต่ต้องไม่ลืมว่าเป็นต้นทุนของประเทศ ภาคการผลิตของไทยส่วนใหญ่ยังติดกับดักอุตสาหกรรมพื้นฐานใช้เทคโนโลยีต่ำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก (Labor Intensive) ภาคส่งออกซึ่งเป็นรายได้หลักของชาติอุ้มการจ้างงานไว้มากกว่าครึ่งเกี่ยวข้องกับภาคการผลิต บริการ และเกษตรกรรม ส่วนใหญ่ใช้แรงงานเข้มข้นและเป็นอุตสาหกรรมรับจ้าง (OEM) อาจสูญเสียขีดความสามารถการแข่งขันและจะทำให้ส่วนหนึ่งอาจย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อทศวรรษที่ผ่านมา

นอกจากนี้อาจทำให้ราคาสินค้าปรับตัวที่สุดกระทบไปถึงประชาชนและภาคแรงงานกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ต้องมีการปรับค่าจ้างให้สูงตามราคาสินค้า การที่ประเทศไทยจะยกระดับค่าจ้างให้สูงเทียบเท่าประเทศพัฒนาจำเป็นที่จะต้องยกระดับผลิตภาพแรงงานหรือ “Productivity” ให้สูงกว่าค่าจ้าง เกี่ยวข้องกับการไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเข้มข้น “Technology Intensive” ทั้งในภาคการผลิต-บริการและเกษตรกรรม สินค้าส่งออกต้องเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง-มีแบรนด์เป็นของตัวเองไม่ใช่ย่ำอยู่กับอุตสาหกรรมรับจ้างผลิต ด้านแรงงานต้องมีการปรับทักษะทั้ง Reskill และ Upskill ซึ่งต้องปรับตัวผู้ประกอบการเป็นระดับต้นๆ แล้วจึงค่อยไปปรับในระดับแรงงาน หากเถ้าแก่หรือเจ้าของธุรกิจยังย่ำอยู่กับอุตสาหกรรม 2.0 ขาดวิสัยทัศน์ด้านการใช้เทคโนโลยีขาดทักษะการจัดการแล้วจะไปพัฒนาลูกจ้างย่อมเป็นไปไม่ได้

ประเด็นที่ต้องเข้าใจค่าจ้างหรือรายได้ที่สูงมาพร้อมกับค่าครองชีพที่สูงเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ค่าจ้างคนทำงานในเมืองอัตราค่าจ้างแรกเข้าประมาณ 50,000 บาท แต่ค่าครองชีพที่สูงลิ่ว เช่น น้ำเปล่าขวดละ 30 บาท อาหารกลางวันริมถนนจานละ 300 บาท เมืองใหญ่ๆ ของจีนอาหารในฟู้ดคอร์ท กับข้าวสองอย่างจานละ 150 บาท แมคโดนัลด์พร้อมโค้กราคา 235 บาท ค่าเช่าอพาร์ทเม้นท์ชานเมืองโตเกียวหรือนครเซียงไฮ้หนึ่งห้องนอนเล็กๆ ราคามากกว่า 30,000 บาท เคยสอบถามแรงงานหนุ่มสาวพบว่าส่วนใหญ่คุณภาพชีวิตไม่ดีเท่าไรต้องดิ้นรนทำงานพาร์ทไทม์เพื่อเพิ่มรายได้พวกเขาอิจฉาคนไทยด้วยซ้ำ

ค่าจ้างที่สูงเป็นทางเดินของประเทศแต่จะต้องพัฒนายกระดับคุณภาพแรงงานให้มีทั้งด้านประสิทธิภาพและผลิตภาพแรงงานให้สามารถวิ่งตามทันกับค่าจ้างมิฉะนั้นต้นทุนจะไปอยู่ในราคาสินค้า ประเด็นที่ฝากไปถึงรัฐบาลคือช่วงเวลานี้เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง ภาคธุรกิจรายได้หดตัว ขาดสภาพคล่องไม่ใช่ช่วงจังหวะที่จะปรับค่าจ้างแบบประชานิยม ค่าจ้างที่จะปรับจะต้องสมดุลกับผลลัพธ์ในรูปของผลิตภาพแรงงานที่สูงควรส่งเสริมให้ผู้ใช้แรงงานมีการสอบเทียบทักษะมือแรงงานในแต่ละสาขาเพื่อรับค่าจ้างในอัตราที่สูงเป็นทางออกของประเทศที่ค่าจ้างและผลิตภาพแรงงานจะต้องไปในทิศทางเดียวกัน


 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น