โลกกาแฟ…ใต้เงาโควิด-19

หากวันหนึ่งประชากรกาแฟทั่วโลกเดินเข้าไปในร้านกาแฟที่เคยมานั่งละเลียดเครื่องดื่มถ้วยโปรดเป็นประจำทุกวัน ทว่าบาริสต้าไม่กล้าเดินเข้าใกล้ กลับใช้อุปกรณ์อย่างอื่นมาเสิร์ฟให้แทน

หรือภายในร้านมีแต่คนใส่หน้ากากอนามัยเข้าหากัน ตามนโยบายสร้างระยะห่างทางสังคมที่กำลังนิยมใช้กันทั่วโลก ก็ไม่แน่ใจว่า ยังจะเรียกร้านกาแฟยุคใหม่ว่าเป็น “Thrid place” ได้อีกต่อไปหรือไม่

ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในจีนมีจำนวนนับหมื่นหลาย แบรนด์กาแฟยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง สตาร์บัคส์ ถึงกับต้องปิดร้านสาขาในแดนมังกรไปมากกว่า 2,000 แห่ง จนเมื่อไวรัสมรณะเพ่นพ่านมาถึงสหรัฐ จุดที่มีการระบาดหนักก็คือรัฐวอชิงตัน รัฐอันเป็นเหมือนบ้านเกิดของสตาร์บัคส์ แล้วสตาร์บัคส์เองก็เป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่อเมริกันรายแรกๆ ที่มีพนักงานติดเชื้อไวรัสมรณะ

ร้านกาแฟ เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ต้องปรับตัวในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด 19 ภาพ : Micha? Parzuchowski on Unsplash

แม้ว่าร้านกาแฟของยักษ์ใหญ่เจ้านี้ยังคงเปิดให้บริการตามปกติทั่วสหรัฐและแคนาดา แต่ในจดหมายที่มีการเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ของสตาร์บัคส์นั้น เควิน จอห์นสัน ซีอีโอ สตาร์บัคส์ ระบุชัดว่า บริษัทเตรียม “ปรับเปลี่ยน” วิธีการให้บริการของร้าน เพื่อเป็นทางเลือกให้สตาร์บัคส์ยังคงสามารถเปิดให้บริการทั้งเครื่องดื่มและอาหารให้แก่ลูกค้า

มื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซีอีโอของแบรนด์กาแฟรายใหญ่ระดับโลกสัญชาติอเมริกัน ประกาศว่า บริษัทอาจจะปิดร้านในบางพื้นที่ เนื่องจากการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมกับปรับกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ หันไปเน้นการขายผ่านทาง โมบาย แอพ และวิธีขายแบบ Drive thru หรือการขับรถเข้าไปรับการบริการตามร้าน ตามจุด ตามเคาน์เตอร์ โดยที่ไม่ลงจากรถนั่นเอง

แบรนด์สตาร์บัคส์ ปรับตัวขนานใหญ่ ตอบรับผลกระทบจากโควิด 19 ภาพ : TR on Unsplash

จอห์นสัน มองว่า ลูกค้าอาจได้รับการบริการที่แตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง ขณะที่เราต่างก็เผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน นั่นหมายความว่า บริษัทได้ประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทั้งในระดับชุมชนต่อชุมชน และร้านต่อร้าน จึงอาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการอันเป็นประสบการณ์ที่ลูกค้าพึงได้รับ เช่น ลดจำนวนเก้าอี้ในร้านลงเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างโต๊ะลูกค้า  เปิดเฉพาะการสั่งซื้อทางออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นของสตาร์บัคส์ หรือผ่านแอปพลิเคชั่นจัดส่งอาหารของอูเบอร์ อีทส์ เท่านั้น  หรือในบางกรณี อาจจะเปิดขายเฉพาะแบบ Drive thru

ที่ผ่านมา สตาร์บัคส์วางกลยุทธ์ทางการตลาดของร้านไว้เสมือนเป็นแหล่งพบปะพูดคุยของคนในสังคม ประมาณว่าเป็น “Third place” หรือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหรือพื้นที่เติมความสุข ต่อจากบ้านและที่ทำงาน พยายามปลุกปั้นแบรนด์ให้เป็นสัญลักษณ์ของผู้คนนับล้านคนที่มาซื้อกาแฟดื่มทุกๆ วัน ส่งเสริมการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับบาริสต้า

อูเบอร์ อีทส์ บริการจัดส่งอาหารด่วนที่มาแรงในสหรัฐอเมริกา ภาพ : Robert Anasch on Unsplash

ยิ่งธุรกิจใหญ่โตขนาดไหน ผลกระทบก็รุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจาก เชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แพร่เข้าไปยังแผ่นดินยุโรปและสหรัฐอเมริกา สตาร์บัคส์ ในฐานะบริษัทข้ามยักษ์ใหญ่ที่ฐานธุรกิจกระจายไปทั่วโลก พนักงานเฉพาะในสหรัฐก็มีตัวเลขมากกว่า 200,000 คน  ได้ดำเนินมาตรการในหลายๆ ด้าน เพื่อต่อสู้กับสถานการณ์ไวรัสวายร้าย

เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา สตาร์บัคส์ได้ปิดสาขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ศิลปะซีแอตเทิล เป็นเวลา 3 วัน  เพื่อทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรค ภายในร้าน หลังจากพนักงานของร้านตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19  ก่อนที่ร้านนี้จะกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม ในส่วนของพนักงานร้านทุกคนที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ได้ถูกสั่งให้กักตัวอยู่กับบ้านเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แต่ยังคงได้รับค่าจ้างตามปกติ

ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายเดือนมกราคม เพื่อรับมือกับการระบาดที่รุนแรงของเชื้อไวรัสมรณะในจีน สตาร์บัคส์ประกาศปิดสาขาถึงกว่า 2,000 แห่ง จากที่มีอยู่ทั้งหมด 4,300 แห่ง รวมทั้งในเมืองอู่ฮั่น ศูนย์กลางการระบาดของโรค และเมืองใกล้เคียงอย่างเหอเป่ย นอกจากปิดสาขาแล้ว ยังระงับการให้บริการธุรกิจเดลิเวอรี่เป็นการชั่วคราวด้วย

แม้ขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการปิดสาขากว่าครึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของสตาร์บัคส์มากน้อยเพียง แต่คิดว่าหนักหนาเอาการอยู่ เพราะตลาดจีนนั้นเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของเชนกาแฟแห่งนี้รองจากสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับรายได้จากทั่วโลก

ประเมินกันว่า ยอดขายในจีนประจำไตรมาสแรกปีนี้ น่าจะทรุดตัวราว 50 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน  คิดเป็นตัวเลขกลมๆก็ประมาณ 430 ล้านดอลลาร์
 
อย่างไรก็ตาม หลังจากประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน ร้านกาแฟของสตาร์บัคใน จีน ที่ถูกสั่งปิดไปได้กลับมาเปิดอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ รวมไปถึงร้านสาขา Reserve Roastery ที่เซี่ยงไฮ้ เนื่องจากเห็นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในแดนมังกรลดจำนวนลงเรื่อยๆ ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ทำให้มีร้านกลับมาให้บริการตามปกติราว 85%  แสดงว่าสาขาในบางพื้นที่ยังปิดทำการอยู่

สตาร์บัคส์ยังได้ประกาศปิดร้านสาขาทั่วอิตาลี ไปจนถึงวันที่ 3 เมษายน ทั้งนี้ อิตาลี นั้นเป็นประเทศในยุโรปที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

แบรนด์กาแฟหลายแห่งที่เคยร่วมขบวนรักษ์โลก ด้วยสโลแกน นำแก้วส่วนตัวมาแลกส่วนลด ลดขยะพลาสติก ต่างพากันแตะเบรกนโยบายนี้ออกไปก่อนเป็นการชั่วคราว เมื่อต้นเดือนมีนาคม สตาร์บัคส์ ประกาศนโยบายงดรับแก้วส่วนตัวชั่วคราว แต่ยังให้ส่วนลดเท่าเดิม เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้กับลูกค้าในสหรัฐ ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

“สตาร์บัคส์ ประเทศไทย” ได้ประกาศผ่านแฟนเพจเฟสบุ๊คของสตาร์บัคส์ ประเทศไทย โพสต์ข้อความ งดรับแก้วส่วนตัวชั่วคราวแล้วเช่นกัน และยังคงมอบส่วนลด 10 บาท/แก้ว สำหรับลูกค้าที่นำแก้วส่วนตัวมาใช้บริการที่ร้าน มีผลตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา เช่นเดียวกับ คาเฟ่ อเมซอน ที่งดรับแก้วที่ลูกค้านำมาเองชั่วคราว แต่งดมอบส่วนลด 5 บาท

ในส่วนมาตรการสำหรับพนักงานในบริษัทนั้น สตาร์บัคส์ได้ออกระเบียบควบคุมพนักงานบริษัทในกรณีเดินทางโดยสารเครื่องบินทั้งในสหรัฐและต่างประเทศไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคมนี้ ขณะที่การประชุมของสำนักงานออฟฟิศในสหรัฐและแคนาดา ต้องพิจารณาปรับวิธีการประชุมใหม่ หรือไม่ก็เลื่อนประชุมออกไปก่อน

นอกจากนั้น บริษัทได้ยกระดับระบบการทำความสะอาดภายในร้าน กำหนดให้พนักงานต้องล้างมือ และฆ่าเชื้อบริเวณพื้นผิวที่มีการสัมผัสทุกๆครึ่งชั่วโมง หากสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น อาจกำหนดให้พนักงานสวมถุงมือและใส่หน้ากากอนามัย  หรือยกโต๊ะและเก้าอี้ออกไปจากบ้าน  เพื่อสร้างระยะห่างของพื้นที่ระหว่างพนักงานกับลูกค้า ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

พูดถึงการสร้างระยะห่างแล้ว เกิดมีคลิปวิดีโอแสดงวิธีเสิร์ฟกาแฟ ซึ่งโพสต์ลงในทวิตเตอร์ที่แชร์กันมาก จนกลายเป็นโซเชียลไวรัลด้วยผลพวงจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในร้านกาแฟแห่งหนึ่งของเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี เมื่อพนักงานร้านส่งกาแฟเอสเพรสโซให้กับลูกค้า แต่ไม่ได้เดินไปส่งให้ที่โต๊ะลูกค้าเหมือนเวลาปกติ ด้วยสภาวะที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวการติดเชื้อไวรัส  พนักงานกลับวางถ้วยกาแฟไซส์เล็กลงบนพลั่วตักหิมะแล้วจับด้ามยื่นส่งให้ลูกค้า  ครับ…ไม่ได้เขียนผิด เป็นพลั่วจริงๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจของลูกค้าคอเอสเพรสโซรายดังกล่าว

ขณะที่เขียนเรื่องนี้ มียอดแชร์คลิปนี้ไปแล้วเกือบ 2 แสนครั้ง  สนใจ..หาชมกันได้ครับ จากผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ Marina O’Loughlin

ส่วนกลยุทธ์พลิกแพลงทางธุรกิจต้องยกให้กับคาเฟ่ในรัฐควีนส์แลนด์ของออสเตรเลียร้านหนึ่งชื่อว่า Jaques Coffee Plantation เนื่องจากกระแสกักตุนสินค้า ทำให้ทิชชูม้วนพลอยขาดแคลนไปด้วย ไม่สามารถหาซื้อมาบริการลูกค้าในร้านได้  ทางผู้จัดการร้านจึงคิดไอเดียสุดล้ำนี้ออกมาแล้วโพสต์ลงบนเฟสบุ๊คของร้าน “เสนอแลกทิชชูกับกาแฟ”

ถ้าใครมีทิชชู 3 ม้วนเอามาแลกกาแฟได้ 1 แก้ว  ถ้ามี 36 ม้วนก็แลกเมล็ดกาแฟคั่วได้ 1 กิโลกรัมซึ่งขายในราคา 42 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 800 บาท  ปรากฏว่าได้ทิชชูม้วนมาใช้จำนวนมากทีเดียว เหลือพอที่จะขายต่อให้กับคนที่ขาดแคลนเสียด้วยซ้ำไป

เทศกาลกาแฟลอนดอน เลื่อนจัดงานจากต้นเดือนเม.ย.ไปเป็นเดือนก.ค. ภาพ : facebook.com/TheLondonCoffeeFestival

ในภาพรวมที่ใหญ่ขึ้น ความหวั่นวิตกในสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะ  ส่งผลให้อีเวนต์ต่างๆ ในวงการกาแฟระหว่างประเทศที่มีกำหนดจัดกันในช่วงเดือนมีนาคมและเดือนเมษายนต้องเลื่อนออกไป เช่น เทศกาลกาแฟที่ลอนดอน (London Coffee Festival) เลื่อนจัดงานไปเป็นปลายเดือนกรกฎาคม ขณะเทศกาลกาแฟที่ออตตาวา (Ottawa Coffee Fest) ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

ส่วนเทศกาลกาแฟในไทย Thailand Coffee Fest 2020 เดิมจัดกันระหว่างวันที่ 12-15 มีนาคม ก็เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดเช่นกันจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากผู้จัดไม่มีแนวโน้มที่จะเลื่อนการจัดงานออกไป ทางสมาคมกาแฟพิเศษ (SCA) ได้ประกาศหลักปฏิบัติใหม่ขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ในเทศกาลงานกาแฟหลายแห่งทั้งที่ออเรกอน, เมลเบิร์น และวอร์ซอว์

การ Cupping เพื่อจำแนกกลิ่น-รสชาติกาแฟ ต้องใช้อุปกรณ์ส่วนตัวเช่นกัน ภาพ : Battlecreek Coffee Roasters on Unsplash

หลักๆ ก็เน้นไปที่การ cupping หรือการชิมกาแฟ เพื่อจำแนกแยกแยะรสชาติและกลิ่นกาแฟ โดยผู้ชิมกาแฟจะต้องมีแก้วและช้อนเป็นอุปกรณ์ส่วนตัวไปด้วย ซึ่งหลักปฏิบัตินี้ก็ไม่ถือเป็นของใหม่สำหรับอุตสาหกรรมกาแฟแต่ประการใด เคยใช้มาก่อนแล้วในช่วงการระบาดของโรคภัยต่างๆ ก่อนหน้านี้

ดูจะมีแต่เรื่องร้ายๆ เต็มไปหมด แล้วมันจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ไหม…?

ผมเชื่อยังมีอยู่ เพราะมั่นใจว่าทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ  อย่างร้านกาแฟในออสเตรเลียที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนั้น มียอดขายเมล็ดกาแฟคั่วบรรจุถุงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ออร์เดอร์จากออนไลน์มาแบบจัดเต็มเหนี่ยว เนื่องจากแม้คนไม่เดินทางออกไปไหน จะอย่างไรเสียก็ขาดกาแฟที่บ้านไม่ได้

นี่…อาจจะเป็นโอกาสทองของธุรกิจคั่วกาแฟและอุปกรณ์กาแฟแบบครัวเรือนก็เป็นได้


facebook : CoffeebyBluehill

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น