“ซองเดอร์” โตสวนกระแส เตรียมส่ง “โปรตีนพืช” เจาะตลาดคนรักสุขภาพ

สัมภาษณ์: ภญ.ภาคินี จิวัฒนไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซองเดอร์ ไทยออร์กานิคฟูด จำกัด

โดย ดร.นงค์นาถ ห่านวิไล

ดร.นงค์นาถ : ในส่วนของอาหารเพื่อสุขภาพในปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด มากน้อยแค่ไหน

ภญ.ภาคินี : ส่วนของอาหารสุขภาพในช่วงแรก ตื่นตระหนกในระดับหนึ่ง ภาวะของการซื้อชะลอตัวบางส่วน แต่ก็พอเข้าใจปัญหา และธรรมชาติของโควิดเป็นอย่างไร ก็ฟื้นตัวกลับมา เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ

ดร.นงค์นาถ : ในปี 2565 คาดการณ์ตลาดดีกว่าปีที่แล้วไหม

ภญ.ภาคินี : เราคาดหวังว่าดีกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากว่าเรามีการทำการบ้านเยอะขึ้น และคนหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น เพราะการที่เรามีสุขภาพดีเท่ากับการที่เรามีภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดี พอที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้

ดร.นงค์นาถ : ในช่วงที่ผ่านมา “ซองเดอร์” เรียกได้ว่าเป็นองค์กรที่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตั้งแต่รุ่นคุณแม่บริหารเต็มตัว ในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ เรียกได้ว่าบริษัทได้เปรียบองค์กรอื่นที่เขาไม่ได้ยึดหลักนี้อย่างไรบ้าง

ภญ.ภาคินี : จริงๆ แล้วเราโชคดีที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมาจากที่เราค่อยๆ ทำ จากต้นน้ำกลางน้ำไปถึงปลายน้ำ เราทำธุรกิจบนพื้นฐาน ที่ว่าเราต้องพึ่งตัวเองให้ได้ หมายความว่าในส่วนของวัตถุดิบ การผลิตต่างๆ มาจากประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือธัญพืชต่างๆ “ซองเดอร์” มีเกษตรกรในเครือข่าย ที่เป็นเกษตรอินทรีย์ปลูกในประเทศไทย และก็มีการแปรรูปค้นคว้าต่างๆ ด้วยตัวของเราเอง เมื่อมีสถานการณ์โควิด ในช่วงนั้น เราจึงไม่กระทบมากในเรื่องของการผลิต เพราะ “ซองเดอร์” ยังผลิตทุกวัน ไม่มีวันหยุด เพราะเราใช้วิกฤติตรงนั้นให้เป็นโอกาส เราไม่มีวิกฤติที่ต้องนำเข้าสินค้า สินค้ามาแปรรูปทำให้มีปัญหาของขาดเลย แต่เราอาจมีบางออเดอร์ที่ชะลอบ้างในบางส่วน เราก็ใช้โอกาสตรงนั้นในการพัฒนาสินค้าและองค์กร วิเคราะห์ปัญหาที่ผ่านมาว่าเกิดจากอะไร และนำมาปรับปรุง

ดร.นงค์นาถ : ตอนนี้ตลาดในประเทศ คิดว่าคนน่าจะรู้จักแบรนด์ “ซองเดอร์” กันมากขึ้นแล้วใช่ไหม

ภญ.ภาคินี :ในประเทศรู้จักกันมากขึ้น “ซองเดอร์” เองไม่ได้ทำการตลาดมากนัก เราทำในส่วนการผลิตและสร้างสรรค์สินค้าให้ดีที่สุด เรื่องการตลาดเราเริ่มจะทำจริงจังเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้จักคือ ต้องขอบคุณลูกค้าเพราะลูกค้าบอกปากต่อปาก แรกๆ ที่เราเริ่มเป็นที่รู้จักได้เพราะเราทำสินค้าเป็นของขวัญปีใหม่ ในราคาที่ไม่แพง พอคนเห็นว่าสินค้าราคาไม่แพง และมีคุณภาพมาก เขาเลยสามารถที่จะซื้อไปมอบผู้อื่นได้แบบคุ้มค่าเงิน ยกตัวอย่าง ถ้าซื้อสินค้าราคาสูงๆ มอบได้ 5 คน ก็เพิ่มเป็น10คน เมื่อเราส่งตรงนี้ให้เขารับ แล้วเขาประทับใจ อยากกินต่อ เขาก็โทรมาหาเรา หรือไปหาที่ซื้อ

ดร.นงค์นาถ : ในช่วงนี้ถึงแม้ว่าเป็นวิกฤติ แต่ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับสินค้าเพื่อสุขภาพอย่าง “ซองเดอร์” ใช่ไหม

ภญ.ภาคินี : ช่วงนี้เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส อยู่ที่ว่าเราจะมองวิกฤติตรงนี้ให้เป็นโอกาสได้อย่างไร เราต้องรู้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างไร ปัจจุบันเขาต้องการอะไร และอะไรที่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ เราก็ไปทำในจุดๆ นั้น

ดร.นงค์นาถ :ตลาดในประเทศ เติบโตแค่ไหนเมื่อเทียบกับปีก่อน

ภญ.ภาคินี : ปีนี้คาดกว่าตลาดจะเติบโต ประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพราะผู้บริโภคห่วงใย ในสุขภาพมากขึ้น จึงสนใจเลือกซื้ออาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย

ดร.นงค์นาถ : จะทำการตลาดอย่างไรในภาวะวิกฤติแบบนี้

ภญ.ภาคินี : ช่วงต้นๆปีนี้  เรายังโตไม่มาก แต่ตั้งใจไว้ว่าพอเศรษฐกิจฟื้นได้ดีขึ้น เราตั้งใจจะพัฒนาสินค้าเพิ่มอีก เรามีการศึกษาหา customer insight มากขึ้น คือ ต้องเจาะลึกพฤติกรรมลูกค้า ความต้องการลูกค้า เราดูเรื่องของ customer journey สำรวจดูว่าลูกค้าแฟนพันธุ์แท้ของ “ซองเดอร์” เขาชอบ “ซองเดอร์” เพราะอะไร ทำไมถึงรักเรา แล้วเขากินผลิตภัณฑ์เราตอนไหน ซึ่งส่วนมากลูกค้าตื่นตอนเช้ามากๆ แล้วยังไม่อยากทานอะไรในตอนเช้า ก็จะทาน “ซองเดอร์” 1 แก้ว และ สักพักก็จะไปออกกำลังกาย เพราะตอนเช้า เราจะโหยท้อง ถ้าเรากินของหนักๆ ของที่มีปริมาณน้ำตาลสูง จะไม่ดีต่อร่างกาย แต่การที่ได้กินอาหารไม่มีน้ำตาล ก็จะทำให้อิ่มเป็นระยะเวลาหนึ่ง เวลาเราไปออกกำลังกายก็ทำให้เราไม่โหย

 

ดร.นงค์นาถ : จะมีสินค้า มี Product ใหม่ๆ อะไรบ้างในช่วงนี้

ภญ.ภาคินี : ตอนนี้เรามีสินค้าใหม่อยู่ จริงๆ เป็นสินค้าที่เรียกว่า Re-launchใหม่ เนื่องจากว่าเราทำธัญพืชเครื่องดื่มมานานแล้ว แต่พอเทรนด์ใหม่ๆ เริ่มมา เช่น เทรนด์ตอนนี้ไม่ต้องการครีมเทียมที่เป็นน้ำมันปาล์ม หรือบางคน บอกว่าต้องการอะไรที่เน้นดูแลสุขภาพมากขึ้น ต้องการ High Fiber

ตอนนี้เราก็มีสินค้าสองตัวที่เป็นสินค้าตัวใหม่ ก็จะเป็น เครื่องดื่มธัญพืช 8 ชนิด เพิ่มงาดำ 2 เท่า ซึ่งเราปรับปรุงจากตัวเดิม แต่ตัวนี้ใส่งาดำเพิ่มขึ้น  2 เท่า มีให้เลือก 2 แบบ คือ จะเป็นธัญพืชผสมงาดำรสจืด และ ธัญพืชผสมงาดำรสหวานน้อย High Fiber ผสมโกโก้ ในส่วนของรสจืด ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือ เป็นผู้ที่กังวลว่าจะเป็นเบาหวาน มีภาวะเสี่ยง สามารถทานได้ เพราะว่าตอนนี้ คนวัยประมาณ 40 และ 40 ปีขึ้นไป เริ่มกังวลเรื่องน้ำตาลในเลือด จึงต้องลดของหวาน

ก็จะมีอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ระหว่างมื้อหรือว่าตอนทำงานแล้วรู้สึกล้า และหิว ถ้าเราหันไปทานขนมสักอย่างหนึ่ง การที่เราทานขนมที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จะมีในเรื่องของโซเดียมที่สูง เราเลย มีซีเรียลบาร์ ที่เหมาะกับกลุ่มนี้  ซึ่งขายดีในปัจจุบัน

และยังมีงาดำ ผสมธัญพืชผสมผลไม้ เป็นซีเรียลรสโกโก้ ไฮไฟเบอร์ ซึ่งตัวนี้บางท่านชอบบอกว่าชอบกินโกโก้ช่วงบ่าย โกโก้ตัวนี้เป็นโกโก้ที่น้ำตาลต่ำ ที่สำคัญคือ มีไฟเบอร์สูง ถ้าท่านที่ถ่ายยาก ถ้าทานตัวนี้ไปในตอนเย็น พอเช้าอีกวัน เมื่อขับถ่าย จะรู้สึกว่าถ่ายจะนิ่มขึ้น อันนี้มันเป็นธรรมชาติเลย เพราะว่า พยายามผสมปรุงรส นำสิ่งที่มาจากธรรมชาติ มาก่อให้เกิดเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

 

ดร.นงค์นาถ : จะมีผลิตภัณฑ์นวัตกรรม จาการวิจัยใหม่ๆ ออกมาหลังยุคโควิดไหม

ภญ.ภาคินี :  ในเร็วๆ นี้ ประมาณอีกสองเดือน จะพัฒนาวิจัยเพิ่ม เป็น Plant-based protein ที่ทานง่ายมาก

ดร.นงค์นาถ : คือเป็นโปรตีนพืช? ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้จาก ซองเดอร์ แตกต่างจากทั่วไปอย่างไร

ภญ.ภาคินี :  เป็น Plant-based protein วัตถุดิบมาจากถั่วลันเตา จะเป็นตัวที่ไม่มี Allergen หรือไม่มีสารก่อภูมิแพ้เลย ไม่มีฮอร์โมนในตัวพืชด้วย ซึ่งทำให้เวลาทานไปแล้วทำให้ไม่มีปัญหาในระยะยาว จะมีเปิดตัวในอีกประมาณสองเดือน

ดร.นงค์นาถ : หมายถึงกำลังจะเข้าไลน์ผลิตใช่ไหม

ภญ.ภาคินี : ใช่ เพราะว่าจริงๆ เราวิจัยอย่างลึกเลยในการที่เราอยากรู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไร และยังขาดอะไรอยู่ ซึ่งตอนนี้เรามีการส่งตัวนี้ไปให้กับลูกค้าได้ชิม ลูกค้าชอบมากแล้วก็รู้สึกว่าเราเป็นสินค้าที่มาจากธรรมชาติ ไม่มี Chemical ในการปรุงแต่งมากนัก ไม่ได้สังเคราะห์ ดังนั้นเขาเลยมองว่า “ซองเดอร์” มาจากธรรมชาติที่เขามั่นใจ และเชื่อถือได้

ดร.นงค์นาถ : ในตลาดโลกที่เป็นตลาดส่งออก ทราบว่า “ซองเดอร์” ก็ส่งไปในประเทศ AEC แล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้างตลาดเพื่อนบ้าน

ภญ.ภาคินี : ตอนนี้พอมีปัญหาโควิดมา ตลาดเพื่อนบ้านมีช่วงหนึ่งก็ซบเซาไปเหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นระดับหนึ่ง เราเองไม่ได้ส่งไปใน AEC มากนัก กำลังทำการบ้าน ว่าเราควรจะอยู่ตรงไหน เรามองว่าเราอยู่ประเทศไทย เราต้องทำประเทศไทยให้ดีที่สุด ตลาด  AEC เราให้ distributor จัดจำหน่าย มี distributor กับทางพม่า และประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ

ดร.นงค์นาถ : เตรียมรุกตลาดส่งออกหรือตลาดโลกมากกว่านี้ ไหม เตรียมแผนไว้อย่างไรบ้าง เพราะยุคนี้คนทั่วโลกใส่ใจสุขภาพมากขึ้นกว่าอดีต

ภญ.ภาคินี : ในตัวของ “ซองเดอร์” เราเตรียมแผนรุกตลาดในส่วนของ AEC ในส่วนของในตลาดโลก เราจะมองเป็น Unit  เนื่องจากว่าเราต้องมองจากตัวเองก่อนว่าจุดแข็งของเราคืออะไร จุดแข็งของเราคือ ผลิตอาหารเพื่อคนไทยหรือคนเอเชีย ดังนั้น ความที่เรารู้ใจ เรารู้ว่าคนเอเชียต้องการอะไร ชอบอาหารแบบไหน ชอบเครื่องดื่มรสชาติเป็นแบบไหน เช่น โจ๊ก แบบไหนที่ตอบโจทย์คนไทย คนเอเชีย

ตอนนี้ เราเลยผลิตโจ๊กที่แตกต่าง เป็นโจ๊กที่เนื้อเนียนมาก เวลาทานโจ๊ก “ซองเดอร์” จะได้ texture ที่ดีมากๆ เราก็เลยมองว่าจุดนี้เราจะขยายไปประเทศแถบ AEC โซนเอเชียเป็นหลัก เพราะว่าเรามีผลิตภัณฑ์ และความเชี่ยวชาญในเรื่องของการพัฒนาสินค้าเพื่อคนไทย และเอเชีย ซึ่งจริงๆ สินค้าสุขภาพสามารถไปได้หลากหลาย เพียงแต่ต้องดูด้วยว่ากลุ่มลูกค้าที่ไหน ชอบทานแบบไหน อย่างประเทศที่เราขายมานานมาก คือ ฮ่องกง มี order มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ปี เพราะโจ๊กจะเป็นโจ๊กเนื้อเนียน ได้เคี้ยว และแตกต่างจากโจ๊กที่เขาเคยเห็น แม้ว่า ฮ่องกง จะมีชื่อเสียงเรื่องโจ๊ก แต่โจ๊กเราก็ขายดีที่ฮ่องกง

ดร.นงค์นาถ : ผู้บริโภคที่สนใจผลิตภัณฑ์ ซองเดอร์ สามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ในช่องทางใดบ้าง

ภญ.ภาคินี : ท่านที่สนใจรับสินค้าตัวอย่าง สามารถเข้าไปที่ www.xongdur.com หรือว่าแอดไลน์ @Xongdur สามารถรับคูปองฟรี 100 บาทแล้วก็รับตัวอย่างได้เลย


 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น