สายดริปต้องรู้… กระดาษกรองกาแฟสำคัญไฉน?

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า กาแฟดริปเป็นหนึ่งในวิธีการชงกาแฟที่เราออกแบบรสชาติเองได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะชื่นชอบรสชาติกาแฟแนวไหน หรือติดใจกลิ่นรสจากกาแฟคั่วระดับใด  เก่งฉกาจในเรื่องดริปกาแฟมากน้อยเท่าไร  ก่อนจะมาถึงจุดนี้เชื่อว่าสายดริปทุกคนเคยผ่านการใช้กระดาษกรองคู่กับดริปเปอร์มาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น

กระดาษกรองกาแฟดริป (Drip coffee filter/Pour-over coffee) ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพดี เช่น เยื่อกระดาษธรรมชาติ และปลอดภัยไร้สารเคมี เป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญของการชงกาแฟในสไตล์นี้มาแต่ดั้งเดิม  เนื่องจากทำหน้าที่เป็นตัวช่วยกรองผงหรือกากกาแฟคั่วบดได้เป็นอย่างดี ผลที่ตามมาคือ ช่วยให้กาแฟดริปมีกลิ่นรสตามธรรมชาติมากที่สุด  ได้ความรู้สึก “สะอาด” ในรสชาติกาแฟขณะดื่มได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับตัวกรองที่ทำขึ้นจากโลหะ หรือพลาสติก และที่สำคัญสุดๆก็คงจะเป็นในเรื่องที่มีผลดีต่อสุขภาพนั่นเอง

สายดริปต้องรู้… กระดาษกรองกาแฟนั้นสำคัญไฉน? ภาพ : Nathan Dumlao on Unsplash

ฟิลเตอร์กรองกาแฟแบบกระดาษซึ่งปกติจะใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งแต่ก็ย่อยสลายง่ายนั้น  มีส่วนช่วยกรองผงกาแฟ​และสกัดกั้น “น้ำมันกาแฟ” ที่เกิดจากการนำสารกาแฟมาคั่วด้วยความร้อนมาจนน้ำมันซึมออกมาเคลือบผิวเมล็ด  กรองกระดาษที่ช่วยดูดซับคราบน้ำมันนั้น ทำให้กาแฟมีรสสัมผัสสะอาดเป็นพิเศษ แทบไม่มีกากกาแฟเล็ดลอดมารบกวนอารมณ์ดื่มเลย

ตัวคราบน้ำมันกาแฟ (coffee oil) นี่เองที่ถูกมองว่าเป็นตัวร้ายที่ “แฝงเร้น” มากับกาแฟที่ดื่มในแต่ละแก้ว และก็มีการพูดถึงกันมากเสียด้วยในวงการแพทย์ แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่รู้หรือมองข้ามไป

ในการชงกาแฟโดยไม่ใช้ตัวกรอง (Unfilter coffee) จะมีสารชนิดหนึ่งที่ทำให้ระดับ “คอเลสเตอรอล” ในเส้นเลือดเพิ่มขึ้น  หากว่าสะสมอยู่นานวันเข้าก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้  แต่เมื่อมีการใช้ตัวกรองจะช่วยกำจัดสารนี้ออกไป แนวโน้มที่จะเกิดภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ก็มีน้อยลง

ปกติกระดาษกรองสีน้ำตาลจะถูกลวกด้วยน้ำร้อนก่อนดริป ภาพ : William Moreland on Unsplash

เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันดีว่า ไขมันในกาแฟอย่างพวก คาเฟสตอล และ ไดเทอร์พีน เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น การลดระดับของสารเหล่านี้ ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้กระดาษกรองกาแฟ ส่วนตัวกรองที่ทำจากโลหะ, ไนลอน และพลาสติก ไม่สามารถดูดซับสารพวกนี้ออกไปจากแก้วกาแฟของคุณได้เลย

ประโยคข้างต้นนี้ ผู้เขียนไม่ได้พูดเอง แต่มีงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นเป็นเครื่องยืนยัน ล่าสุดก็เป็นงานวิจัยของศาสตราจารย์ “แด็ก เอส. เธลเล่” แห่งมหาวิทยาลัยโกเตนเบิร์ก ในสวีเดน  ซึ่งมีผลงานการวิจัยตีพิมพ์ลงใน “วารสารป้องกันโรคหัวใจของยุโรป” (European Journal of Preventive Cardiology)  เมื่อเมษายน 2563 มานี้เอง มีข้อสรุปว่า การชงกาแฟแบบมีตัวกรอง ให้ความปลอดภัยต่อสุขภาพที่สุด เมื่อเทียบกับการชงรูปแบบต่างๆ

ส่วนตัวผู้เขียนเองเชื่อมาตลอดว่า หากใครไม่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ก็สามารถดื่มกาแฟได้ทั้งสองแนว ทั้งแบบที่มีกระดาษกรองและไม่มี แต่ถ้ามีระดับคอเลสเตอรอลสูงหรือกลัวว่าจะมีในอนาคต ก็ให้เลือกดื่มเฉพาะแบบที่มีกระดาษเป็นตัวกรองเท่านั้น …ไม่ทราบว่าเป็นความคิดที่ผิดหรือถูกประการใด

กระดาษกรองกาแฟนั้นก็มีให้เลือกซื้อเลือกใช้อยู่มากมายหลายหลากประเภท ไม่ว่าจะเป็นในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าออนไลน์ แตกต่างกันขนาด, ลักษณะรูปร่าง, ความหนา/บาง, ความละเอียด/หยาบ, ความเรียบ/ย่น, วัสดุที่นำผลิตเป็นเนื้อกระดาษ และมีทั้งแบบ “ฟอกสี” และ “ไม่ฟอกสี”  แน่นอนว่าเราคงจะต้องเลือกดื่มหรือเลือกใช้อะไรๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเรา หรืออย่างน้อยที่สุดไม่นำมาซึ่งผลเสียต่อร่างกาย แต่คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย หากว่าเครื่องดื่มนั้นๆ ดีต่อสุขภาพแล้วก็ให้รสชาติอร่อยไปพร้อมๆ กันด้วย

กระดาษกรองกาแฟทรงตระกร้าแบบฟอกสี ภาพ : commons.wikimedia.org/wik/Evan-Amos

อย่างที่เรียนให้ทราบแล้วว่ากระดาษกรองกาแฟมีการผลิตขึ้นมาจำหน่ายจากหลายแบรนด์หลากยี่ห้อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสความนิยมในกาแฟดริปทั่วโลกที่มีคำนิยามสุดฮิตว่า “..เป็นวิธีชงกาแฟที่เราออกแบบรสชาติเองได้” และ “ทำกาแฟดริปเองได้โดยไม่ต้องง้อบาริสต้า” ส่งผลบริษัทในธุรกิจกาแฟและธุรกิจผลิตอุปกรณ์ครัวเรือนทั้งในเมืองไทยเราและเมืองเทศ ต่างก็หันมาจับตลาดในเซกเมนต์นี้เพื่อรองรับความต้องการของนักดื่มเป็นทิวแถว

แต่เนื่องจากมีสินค้าให้เลือกหลายยี่ห่อนี้เอง ก็เลยยากที่จะตัดสินใจเหมือนกันว่าจะซื้อตัวไหนดี จึงจำเป็นต้องมี”เทคนิค”หรือ”หลัก”ในการเลือกซื้อ เป็นทางเลือกในการพิจารณาตัดสินใจว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” เพื่อจะได้กระดาษกรองกาแฟพร้อมคุณสมบัติตามที่เราต้องการ คือทั้งปลอดภัย ช่วยให้กาแฟมีรสชาติดี และอาจพ่วงดีกรีความ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากว่าเราใส่ใจในแง่มุมนี้

กระดาษกรองกาแฟผลิตขึ้นจากเยื่อกระดาษหรือเส้นใยเซลลูโลสที่พบได้ในพืชหลายชนิด  มีทั้งชนิดที่ได้จากเนื้อไม้ กับชนิดที่ไม่ใช่เนื้อไม้  เช่น ไม้ไผ่หรือเส้นใยจากต้นกล้วย ปกติจะมีอยู่ 2 สีด้วยกัน ได้แก่ “สีน้ำตาล” กับ “สีขาว” โดยกระดาษกรองสีน้ำตาลคือสีธรรมชาติ  ส่วนสีขาวคือกระดาษกรองที่ผ่านการฟอกสี ซึ่งสีของกระดาษกรองกลายเป็นตัวแปรหลักๆ ในการเลือกซื้อไป ตามมาด้วยคุณสมบัติหรือคุณภาพ

ขออนุญาตพูดถึงประวัติความเป็นมาของกระดาษกรองกาแฟกันสักนิด ก่อนจะร่วมแบ่งปันประสบการณ์เป็นลำดับถัดไป เพราะผู้เขียนนั้นเป็นคอกาแฟดริปตัวยง แเล้วก็ผ่านมาหมดแล้วในกระดาษกรองกาแฟทุกสไตล์

กระดาษกรองกาแฟทรงกรวยแบบไม่ฟอกสี ภาพ : commons.wikimedia.org/wik/Serassot

แม้ว่าการค้นพบกาแฟป่าผ่านทางตำนาน “แพะเต้นระบำ” (The Dancing Goats) จะเกิดขึ้นที่เอธิโอเปียตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 9 ทว่าการเพาะปลูกและการค้ากาแฟเชิงพาณิชย์ กำเนิดขึ้นครั้งแรกทางดินแดนตอนใต้ของคาบสมุทรอาระเบีย  คือ เยเมน ในปัจจุบัน พอถึงศตวรรษที่ 16 เมื่อการดื่มกาแฟแพร่หลายเข้าไปในตุรกี, อียิปต์ และเปอร์เซีย ก็เลยเกิดมีวิธีชงกาแฟ”อย่างเป็นทางการ”ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกขึ้นมา โดยเป็นหม้อต้มที่คิดค้นขึ้นในตุรกีเรียกกันว่า “หม้อไอบริก” (Ibrik) เป็นการต้มกาแฟแบบไม่มีตัวกรองเลย ซึ่งยังคงมีใช้สืบทอดกันมาเป็นวิถีจนถึงปัจจุบัน

ย่างเข้าศตวรรษที่ 17 นั่นแหละกาแฟซึ่งกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคาบสมุทรอาระเบีย, เปอร์เซีย, แอฟริกาตอนบน และอาณาจักรออตโตมันเติร์กไปแล้ว ก็ข้ามน้ำข้ามทะเลเข้าสู่ยุโปเป็นครั้งแรก ถึงอิตาลีก่อนใครผ่านทางพ่อค้าและนักเดินทาง แล้วก็เกิดติดอกติดใจในรสชาติขึ้นมา จนเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างเร็ว มีการเปิดร้านกาแฟขึ้นเป็นจำนวนมาก กลายเป็นธุรกิจขึ้นมาที่ต้องจัดหาหม้อใบใหญ่ๆมาต้มกาแฟร้อนๆ รองรับลูกค้าที่เข้ามาตั้งวงสนทนากันในทุกเรื่องราวจนเป็นที่มาของชื่อ “สภากาแฟ” นั่นเอง

วิธีการชงกาแฟก็ไม่มีอะไรมากในยุคนั้น เอากาแฟคั่วบดเทใส่หม้อ เติมน้ำ แล้วเอาไปต้มจนเดือดพล่าน เสร็จสรรพก็ยกมาเสิร์ฟโดยไม่มีตัวกรองกากหรือผงกาแฟแต่อย่างใด เข้าใจว่าน่าจะได้แนวทางมาจากวิธีการชงกาแฟของตุรกี

ต่อมา ได้มีการสร้างตัวกรองขึ้นมา เพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องดื่มผงหรือกากกาแฟเข้าไป ซึ่งนักประวัติศาสตร์ด้านอาหารบางคนปักใจเชื่อว่า อุปกรณ์กรองกาแฟชิ้นแรกของโลกก็คือ “ถุงเท้า” นั่นเอง ใช่ครับถุงเท้าที่ทำจากผ้า  จากนั้นก็พัฒนามาเป็นถุงผ้า เข้าใจว่าเป็นผ้าลินินเสียเป็นส่วนใหญ่ ความละเอียดของเนื้อผ้าก็คงพอจะช่วยขจัดกากกาแฟออกไปได้บ้าง (เขียนมาถึงตอนนี้..ผู้เขียนอดนึกถึงถุงชงกาแฟโบราณที่ใช้กันทั่วภูมิภาคอาเซียนและบ้านเรา ไม่แน่ใจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกันหรือไม่)

ครั้นตกถึงปีค.ศ. 1908 ก็เกิดมีกรองกาแฟแบบที่ใช้กระดาษขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก เมื่อแม่บ้านเยอรมันชาวเมืองเดรสเดน ชื่อ “เมลิตตา เบนซ์” (Melitta Bentz)   เกิดอยากสกัด “รสขม” ออกจาก “กาแฟต้ม” ที่ดื่มกันมาอย่างยาวนานขึ้นมา แรกเริ่มนั้นเธอใช้ถุงผ้าลินินเป็นตัวกรอง แต่ยังไม่ลงตัว  ก็ทดลองไปเรื่อย ชิมไปเรื่อย

สุดท้ายมาจบที่ “กระดาษซับรูปสี่เหลี่ยม” ซึ่งฉีกมาจากสมุดการบ้านของเจ้าลูกชาย

แล้วเธอก็ไม่ได้”ต้มกาแฟ”แล้วกรองกากผ่านกระดาษ แต่ใช้วิธีนำกาแฟบดใส่ในกระดาษแล้วเติมน้ำร้อนลงไป โดยมีกระดาษทำหน้าที่เป็นตัวกรอง  …นับจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา “กาแฟดริป” พร้อมกับ “กระดาษกรองกาแฟ” ก็เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก

การเลือกกระดาษกรองให้พอดีกับดริปปอร์ มีผลดีต่อการไหลเวียนของน้ำ ภาพ : Athena Lam on Unsplash

นอกจากคิดค้นเป็นผลสำเร็จแล้ว  เธอยังเกิดไอเดียนำผลงานไปผลิตเพื่อจำหน่ายอีกด้วย ก็จัดจ้างคนในครอบครัวนั่นเอง  มีสามีและลูกเป็นพนักงานกลุ่มแรกๆ จนกิจการเติบโตอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นก่อตั้งเป็นบริษัท ตั้งชื่อว่า Melitta Bentz Company มีสินค้าในธุรกิจกาแฟจัดจำหน่ายหลายชนิด  ภายใต้แบรนด์ M. Bentz”   พอถึงปีค.ศ. 1930  ก็มีการเปลี่ยนรูปแบบกระดาษกรองกาแฟจากแผ่นสี่เหลี่ยมให้เป็น “ทรงกรวย”   แถมคิดค้นถุงผ้ากรองกาแฟในปีค.ศ. 1937

เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง แบรนด์ ‘M. Bentz ก็ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นกระดาษกรองกาแฟที่ทำจากเยื่อไผ่ พร้อมโฆษณาว่า “ตอนดริปไม่ส่งผลต่อกลิ่นรสกาแฟ”

นอกเหนือจาก Melitta  ซึ่งเป็นเจ้าดั้งเดิมแล้ว ในปัจจุบันก็มีหลายบริษัทที่ผลิตกระดาษกรองกาแฟออกจำหน่าย เช่น  Suzuki, Hario, Koonan, Pro Mael, Animo, Brew-Rite, Filtropa, Daiso, Yireen, Tiamo, Bunn และ Timemore  ในบ้านเราที่คุ้นตามากๆ ก็เห็นจะเป็นแบรนด์ BonCafe นั่นแหละ

ทั้งนี้ รูปลักษณะของกระดาษกรองแปรผันไปตามรูปทรงดริปเปอร์ชงกาแฟ หลักๆ แบ่งได้เป็น 3 แบบด้วยกัน ทรงกรวย (Cone) , ทรงคางหมู (Trapezoid) และ ทรงกระบอกหรือตระกร้า (Cylindrical/Basket)  ขณะที่อีกสไตล์ของกระดาษกรองที่เห็นกันบ่อยๆก็คือ สไตล์ของ Chemex  ที่มีกระดาษกรองให้เลือกถึง 3 แบบ คือ แบบสี่เหลี่ยม, วงกลม และครึ่งวงกลม ฟิลเตอร์แบบนี้ทำขึ้นจากกระดาษปอนด์  มีความหนากว่าของกระดาษกรองทั่วไป   จึงใช้เวลาในการชงนานกว่า ได้บอดี้กาแฟที่เข้มข้นกว่า

กระดาษกรองกาแฟในสไตล์ของ Chemex ภาพ : Nathan Dumlao on Unsplash

แล้วกระดาษกรองไม่ได้ใช้เฉพาะกาแฟดริปเท่านั้น แต่ยังใช้กับอุปกรณ์ชงกาแฟแนวอื่นๆ ด้วย  เช่น หม้อต้มมอคค่าพ็อท, เครื่องไซฟ่อน และแอร์โรเพรส เพียงแต่ต่างรูปทรงกันไปบ้างเท่านั้น

หลายคนตั้งคำถามว่า กระดาษกรองกาแฟดริปสีขาวหรือสีน้ำตาลที่เห็นขายกันตามท้องตลาดแบบไหนดีกว่ากัน ที่จริงแล้วทั้งสองชนิดมีกรรมวิธีการผลิตและส่งผลต่อกลิ่นรสกาแฟแตกต่างกันในเบื้องต้น  แต่คำถามนี้ตอบไม่ยากครับ อยู่ที่ว่าเราสนใจในแง่มุมไหนมากกว่ากัน หรือจะสนใจเท่าๆกันก็ได้  ให้ขึ้นอยู่กับรสนิยมในการดำรงชีวิตของแต่ละคนก็แล้วกันครับ

“กระดาษกรองกาแฟสีขาว” หรือ Bleached coffee filter นั้น ผ่านกระบวนการฟอกสี ซึ่งมีทั้งแบบใช้ คลอรีน และแบบใช้ ออกซิเจน จึงทำให้เนื้อกระดาษเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นสีขาว ข้อดีของกระดาษกรองแบบนี้ คือไม่ส่งผลต่อกลิ่นรสของกาแฟ ส่วนข้อเสีย เป็นย้อมรับว่ากันว่า การฟอกสีก่อให้เกิดสารเคมีที่เมื่อไหลลงสู่แม่น้ำลำคลอง จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง

ก่อนหน้านี้เคยมีความกังวลว่า กระดาษกรองที่ใช้คลอรีนเป็นตัวฟอกอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่ดูเหมือนว่าในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า มีความปลอดภัยสำหรับใช้ชงกาแฟ เพราะถ้าไม่ปลอดภัยอาจห้ามใช้ไปแล้ว หรือเป็นไปได้ว่าใช้ในปริมาณน้อยๆ จนไม่มีผลข้างเคียง

มีบางแบรนด์ เช่น Moccamaster, Daiso และ Hario  หันไปใช้ออกซิเจนในการฟอกสีเป็นอีกทางเลือก เพระดูมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าคลอรีน แล้วผู้บริโภคจะรู้ได้อย่างไรว่าใช้สารตัวไหนแบบใดในการฟอกขาว ก็ดูได้จากรายละเอียดบนบรรจุภัณฑ์  หากเป็นสินค้าจากแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภค ก็จะระบุข้อมูลไว้อย่างชัดเจนเลย

ส่วน “กระดาษกรองกาแฟสีน้ำตาล” หรือที่ใช้ในภาษาอังกฤษว่า Unbleached coffee filter เป็นกระดาษกรองที่ไม่ใช้สารฟอกสี เป็นสีน้ำตาลธรรมชาติ  ข้อดีคือ ผ่านกระบวนการแปรรูปที่น้อยกว่า  ช่วยลดปริมาณการใช้ทรัพยากร ป้องกันสภาพแวดล้อม และปลอดภัยต่อผู้ใช้ ขณะที่ข้อเสียก็ดูเหมือนจะมีหนึ่งเดียว คือในเรื่องการดริปกาแฟที่มีกลิ่นกระดาษติดออกมาด้วย ซึ่งวิธีการแก้ไขก็ไม่ยุ่งยากอะไร เพียงใช้น้ำร้อนลวกกระดาษกรองให้โชกก่อนเริ่มดริปเท่านั้นเอง

แล้วในแง่ของรสชาติล่ะ แบบสีขาวกับสีน้ำตาลให้รสชาติกาแฟต่างกันหรือไม่ ให้ตายเถอะ…จากประสบการณ์ของผู้เขียนแทบสังเกตไม่ออกในเรื่องความแตกต่างของรสชาติ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกระดาษกรองกาแฟสีไหน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับต้น ๆ เช่นกัน ก็คือ คุณสมบัติที่บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของกระดาษกรอง เช่น ความเล็กใหญ่ของกระดาษนั้นต้องเข้ากันได้อย่างลงตัวกับดริปเปอร์ที่ใช้อยู่  อีกทั้งความหนาบางก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง  เพราะความหนาบางมีผลต่อการไหลของน้ำด้วย ถ้าบางไป น้ำกาแฟก็ไหลเร็ว ถ้าหนาไป น้ำก็ไหลช้ามาก ซึ่งล้วนแล้วส่งผลกระทบต่อรสชาติกาแฟดริป

ขณะที่ความละเอียดหรือหยาบของเนื้อกระดาษกรอง  และชนิดของเยื่อกระดาษ ก็ส่งผลให้อัตราการไหลของน้ำแตกต่างกันไปด้วย ส่วนลักษณะผิวกระดาษ ถ้าเป็นแบบผิวย่น ก็จะช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับการกรองให้มากขึ้น

กระดาษกรองรุ่นใหม่ 3 ระดับการคั่วของบริษัท Cafec แห่งญี่ปุ่น ภาพ : instagram.com/cafec_japan/

เมื่อกลางปีที่แล้ว ผู้ผลิตอุปกรณ์กาแฟดริปของญี่ปุ่น  Cafec” ได้เปิดตัวกระดาษกรองกาแฟรุ่นใหม่  มีชื่อซีรีส์ว่า Cafec Osmotic Flow แบ่งออกเป็น 3 รุ่นด้วยกัน คือ กระดาษกรองสำหรับกาแฟคั่วอ่อน, คั่วกลางเข้ม และคั่วเข้ม ทั้ง 3 แบบต่างกันที่ความหนาตรงตามคอนเซปท์ที่ว่า ความหนาบางของกระดาษกรองมีผลต่อการหมุนเวียนของน้ำ นำไปสู่รสชาติกาแฟที่ต่างกัน ดังนั้น เพื่อดึงรสชาติออกมาให้ดีที่สุด  จึงมีการออกแบบกรองกระดาษที่เหมาะสมในแต่ระดับการคั่ว  โดยกระดาษกรองสำหรับกาแฟคั่วอ่อน จะมีความหนา 0.15 มิลลิเมตร, คั่วกลางเข้มหนา 0.28 มิลลิเมตร และคั่วเข้มมีความหนา 0.22 มิลลิเมตร

จะสังเกตเห็นว่า กระดาษกรองกาแฟสำหรับคั่วกลางเข้มจะมีความหนามากกว่าคั่วเข้ม นั่นอาจจะเป็นผลจากการออกแบบเพื่อสร้างความสมดุลให้กับรสชาติตามแบบฉบับของ Cafec ที่ผ่านการทดลองมา

กระดาษกรองกาแฟดริปรุ่นใหม่ของบริษัท Cafec นั้น ทางบริษัทให้ข้อมูลว่าทำขึ้นจากเยื่อกระดาษของไม้ในโครงการปลูกป่า ผสมเข้ากับ เส้นใยอะบาก้า ซึ่งเป็นพืชในตระกูลกล้วยพันธุ์มิวซาจากฟิลิปินส์ (ที่เอามาทำเป็นเชือกป่านมนิลานั่นแหละครับ)  ช่วยเพิ่มความสามารถในการไหลผ่านของน้ำได้ดีขึ้น และลดกลิ่นกระดาษด้วย

เรื่องความแข็งแรงทนทานก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปว่ากัน ผู้เขียนสารภาพเลยว่า เคยซื้ออุปกรณ์ชงกาแฟแล้วได้กระดาษกรองมาเป็นของแถมปึกหนึ่ง โดยใส่ในถุงพลาสติกมา ไม่รู้ว่าเป็นของค่ายสำนักหรือของแบรนด์ใด จึงลองหยิบเอามาดริปกาแฟดู ปรากฎว่า ขณะดริป ก้นกระดาษกรองเกิดผลิแตกออกมา ทำให้กาแฟคั่วบดพร้อมน้ำไหลลงสู่โถแก้วด้านล่างหมดเลย

ลองอีกรอบก็เป็นเช่นเดียวกัน  จึงเลิกใช้ไปสำหรับของแถมเช่นนี้ ทั้งๆที่เมื่อใช้กับกระดาษกรองที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าในปริมาณกาแฟเท่าๆกัน สัดส่วนการเทน้ำก็เหมือนกัน กระดาษกรองที่ซื้อมาจากห้างทำงานได้ผลเป็นอย่างดี

เจอกับตัวเองเลย ตอนนั้น..รู้สึกเสียดายกาแฟยิ่งนัก กาแฟไทยคั่วอ่อนจากแหล่งปลูกชั้นนำเสียด้วย  เรื่อง “คุณภาพ” และ “ความทนทาน” จึงเป็นสิ่งที่มิอาจมองข้ามไปได้เลยในทุกๆสินค้า

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคุณเป็นคอกาแฟที่มีรสนิยมในการใช้ชีวิตอย่างไร ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นแรกๆ เลย หรือเรื่องรสชาติต้องมาก่อน หรือสนใจทั้งสองด้านไปพร้อมๆกัน แน่นอนว่าหลักในการเลือกซื้อกระดาษกรองกาแฟก็ต้องมีด้วย แล้วสิ่งสำคัญที่พลาดไม่ได้ก็คือคำว่าคุณภาพ แม้ว่าอาจต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกนิด แต่ก็เพื่อความสุขในการดื่มกาแฟแก้วโปรดไปอีกนาน…


facebook : CoffeebyBluehill

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น