อัพเดทโลกยานยนต์ ในงาน “Motor Show 2021”

ปีนี้ แม้จะจัดงานท่ามกลางวิกฤติโควิด แต่ยังคงเป็นงานแสดงยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มไปด้วยไฮไลท์มากมาย โดยเฉพาะเทคโนโลยียานยนต์ที่ก้าวไกลล้ำยุค

ติดตามได้จากบทสัมภาษณ์ คุณพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และรองประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2021

 

สัมภาษณ์: คุณพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และรองประธานจัดงานมอเตอร์โชว์ 2021

โดย ดร.นงค์นาถ ห่านวิไล

พีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา

ดร.นงค์นาถ : “Motor Show 2021” ปีนี้ คอนเซ็ปต์ เป็นเรื่องอะไร

คุณพีระพงศ์  : ปีนี้คอนเซ็ปต์ คือ “Shaping the Next Chapter” หรือ “วิถีชีวิตใหม่ใจเป็นสุข” เนื่องจาก COVID การดำเนินชีวิต การใช้ชีวิตต่างๆ ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปบวกกับเทคโนโลยีใหม่ในรถยนต์ก็เปลี่ยน จากใช้น้ำมันก็เปลี่ยนเป็น Hybrid และไฟฟ้า และมีอุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่มาเสริมเพื่อตอบรับแนวไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไป

ดร.นงค์นาถ : เป็นคอนเซ็ปต์ที่เรียกได้ว่ามากับยุค New Normal เลย ณ ตอนนี้ เพราะเป็นช่วงที่อะไรก็ไม่เหมือนเดิม และตอนนี้ COVID ก็ยังคงแพร่ระบาด  ในงานมีมาตรการอะไรบ้างที่ผู้เข้าร่วมงานต้องรู้ไว้ก่อนไปชมงาน

คุณพีระพงศ์  : มาตรการในปีนี้คล้ายกับปีที่ผ่านมา แต่จะมีการผ่อนผันเรื่องการเข้าบูธซึ่งปีที่แล้วมีการจำกัดจำนวนคนในการเข้าบูธย่อย แต่ในปัจจุบันก็ไม่ต้องมีการจำกัดจำนวนคนขนาดนั้น แต่คนที่มาก็ต้องตรวจวัดอุณหภูมิ คนที่อยู่ในงานคนที่เข้ามาชมงานหรือเจ้าหน้าที่ต่างๆ ก็ยังต้องสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา และล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล เรายังคงรักษามาตรฐานเหมือนปีที่แล้ว

ดร.นงค์นาถ : ปีนี้บริษัทรถยนต์ ค่ายรถจักรยานยนต์ที่เข้าร่วม มีกี่บริษัทและบริษัทใดบ้าง

คุณพีระพงศ์  : บริษัทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่เข้าร่วมทั้งหมดประมาณ 34 แบรนด์ เป็นรถยนต์ 28 และจักรยานยนต์ 7 แบรนด์ ไฮไลท์ของงานปีนี้จะเป็นพวกรถยนต์ไฟฟ้าที่หลายค่ายทยอยเปิดตัวทั้งในงานและก่อนหน้างานเพื่อที่จะให้ประชาชนมีโอกาสมาชมในงาน อย่างเช่น AUDI มีตัว AUDI e-tron GT ซึ่งเป็นรถสปอร์ต 4 ประตู ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียวเลย  มีของ วอลโว่ Volvo XC40 PURE ELECTRIC และของ Great Wall Motor จากประเทศจีน มี ORA รถไฟฟ้า  2 รุ่น คือ Black cat กับ Good cat ที่มาโชว์เทคโนโลยีในงานเพียงแต่ยังไม่ได้เปิดราคา ก็เอาเทคโนโลยีมาให้ดู และก็ยังมีอีกหลายๆ ค่ายที่มีรถไฟฟ้าเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีพวกรถหรูจากค่ายต่างๆ รถที่แพงอย่างเช่น ROLLS-ROYCE New Ghost คันละประมาณ 30 กว่าล้าน รถสปอร์ตของ MASERATI MC20 เป็นsupercar และก็ยังมี PORSCHE Panamera และยังมีหลายค่าย ส่วนในรถทั่วไปเกือบทุกค่ายมีรถรุ่นพิเศษ รุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรถกระบะ เช่น MG New Extender หรือ New Navara ของ NISSAN หรือ BT-50ของMAZDA รวมถึงFORD Ranger ใหม่ และก็ยังมีรถจากทั้ง TOYOTA HONDA มีรุ่นพิเศษที่จะมาโชว์เฉพาะในงานด้วย

       

ดร.นงค์นาถ  : เรียกได้ว่าตื่นตาตื่นใจกับรถยนต์หลายแบรนด์ที่มาเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าทุกค่ายเริ่มศึกษาที่จะนำรถ EV (Electric Vehicle) เข้าตลาดในเมืองไทยใช่ไหม

คุณพีระพงศ์  :ใช่  ยุคของเราตอนนี้เป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่าน จากที่บางค่ายไม่ได้มีรถ EV แต่ส่วนใหญ่ก็มีรถที่เป็นHybrid จะมี Hybrid ธรรมดา อีกตัวหนึ่งจะเป็น Plug-in Hybrid ซึ่งจะใช้งานไฟฟ้าได้ค่อนข้างมากขึ้น อาจจะใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ถึง 30- 40- 50 กิโลเมตร ถือว่าเป็นช่วงรอยต่อระหว่างตัวที่เป็นเครื่องยนต์ Hybrid และไฟฟ้า ถ้าคิดว่ารถไฟฟ้ายังไม่ตอบโจทย์เรา ก็ยังมี Plug-in Hybrid ที่หลายค่ายนำมาเสนอ

ดร.นงค์นาถ : แนะนำผู้บริโภคในการซื้อรถคันต่อไป ควรจะเป็น EV หรือไม่ อย่างไร

คุณพีระพงศ์ : ผมคิดว่าถ้าปัจจุบันคนที่จะซื้อรถ EV ควรจะเป็นรถคันที่ 2 ถ้าเกิดคนที่ใช้ EV เพียวเลย ถามว่ารถปัจจุบันใช้ได้ไหม ก็ใช้ได้ถ้าเรารู้จักวางแผนวันหนึ่งก็วิ่งได้ไม่เยอะ ถ้าไปต่างจังหวัดก็อาจจะใช้คันอื่น อย่างปัจจุบันนี้อย่างน้อยวันหนึ่งวิ่งได้ประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร จริงๆ เราวิ่งไม่ถึงอยู่แล้วถ้าไม่ได้ไปต่างจังหวัด ถ้าวิ่งกลับมาชาร์ตได้ตลอดก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าไปที่แปลกๆ ไม่ได้ชาร์ตก็อาจมีความยากลำบากอยู่ ผมคิดว่าถ้าใครจะซื้อรถแนะนำว่าควรซื้อรถที่ชอบและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับตัวเองก่อนดีกว่า ทางรถไฟฟ้าก็จะมีมาเรื่อยๆ และมีทางเลือกที่หลากหลายกว่านี้

       

ดร.นงค์นาถ  : Plug-in Hybrid และ Hybrid จะช่วยประหยัดตอนรถติด  ที่สำคัญช่วยลดPollution เรื่องของมลภาวะ PM2.5 โดยสรุปแล้วงานนี้มีไฮไลต์ อะไรบ้าง ถ้าผู้บริโภคสนใจไปในงานจะได้พบกับอะไรบ้าง

คุณพีระพงศ์   : ในงานนนอกจากจะมีเทคโนโลยี มีรถรุ่นใหม่ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เป็น Hybrid หรือเป็นไฟฟ้าแล้วก็ยังมีรถหรูที่เราอาจจะหาดูตามถนนได้ยาก ราคาแพง รวมถึงคนที่อาจจะยังไม่ได้สนใจซื้อรถตอนนี้ อาจจะมาศึกษาเทคโนโลยี อาจจะมาลองนั่ง ลองดูได้เพราะงานเราแต่ละค่ายก็นำเทคโนโลยี การพรีเซนต์ต่างๆ เข้ามาโชว์ เราจะได้เห็นมากกว่าที่ในโชว์รูมที่ไม่ได้มีโมเดลที่จับต้องได้ครบทุกรุ่น ส่วนใครที่สนใจซื้อรถในงานทุกค่ายก็มีโปรโมชั่นดีๆให้สามารถเลือกซื้อได้ เรียกได้ว่ามีประโยชน์กับคนที่กำลังหาซื้อรถอยู่ตอนนี้

ดร.นงค์นาถ  : คาดว่าเงินจะสะพัดสักเท่าไหร่  เพราะรัฐบาลเองก็หวังเวลามีอีเว้นท์ว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

คุณพีระพงศ์  : ถ้าเราตีจากรถยนต์ที่ขาย คันหนึ่งตกเฉลี่ยประมาณ 1 ล้านบาท เป้าประมาณ 2 หมื่นคัน ตัวเลขก็ตกประมาณ 2 หมื่นล้าน

        

ดร.นงค์นาถ  : ถัวเฉลี่ยเอาก็ประมาณ 2 หมื่นล้าน ช่วยให้เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำลังต้องการยิ่งในยามนี้ ต้องการให้เงินหมุนหลายๆ รอบ เพราะเมื่อซื้อรถไปแล้วก็ยังมีเรื่องน้ำมัน ค่าmaintenance ต่างๆ ก็ทำให้เงินหมุนหลายรอบ

คุณพีระพงศ์  :อย่างตอนนี้รวมถึงจากซื้อแล้ว การจัดงานหนึ่งขึ้นมาผมคิดว่าก็ได้ประโยชน์หลายๆ ทาง ทั้ง Organizer รายย่อยๆ พวกก่อสร้าง เจ้าหน้าที่ พริตตี้ คนขายอาหารก็ได้ประโยชน์ทั้งหมดเลยในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดร.นงค์นาถ : อีกส่วนหนึ่งที่ทาง Motor Show เองก็เรียกได้ว่าเข้าสู่ยุคดิจิทัล แอพพลิเคชั่น ที่ชื่อว่า “Car Buddy by GPI” น่าสนใจอย่างไร ช่วยอำนวยความสะดวกอะไรบ้างในงานนี้

คุณพีระพงศ์  : แอพพลิเคชั่นนี้ ใช้งานได้ครอบคลุมหลายอย่าง สมมติว่าคนมีบัตรฟรีเข้างานมาก็ต้องลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นนี้เพื่อที่จะได้รับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในการใช้ผ่านเข้างาน ในช่วงของงานนอกจากจะใช้ลงทะเบียนบัตรได้แล้ว ก็มีข้อมูลเรื่องรถใหม่ที่เป็นไฮไลต์ในงาน และโปรโมชั่นในงานที่แต่ละค่ายมีอยู่ เราก็รวมในนี้ รวมถึงผังบูธต่างๆ บอกเหนือจากฟังก์ชั่นที่ใช้ในงานแล้ว ในเวลาที่รถเรามีปัญหาอยากจะหาศูนย์บริการเฉพาะเจาะจงแต่ละเรื่องสามารถใช้แอพพลิเคชั่นเสิร์ชหาข้อมูล รวมถึงข้อมูลในการบำรุงรักษารถยนต์ การแก้ไขปัญหารถยนต์เบื้องต้นก็รวบรวมอยู่ในแอพพลิเคชั่นนี้ทั้งหมด

และแอพพลิเคชั่นนี้ เราเพิ่งปรับมาช่วง Motor Show ที่ผ่านมา ก็จะค่อยๆ มีอัพเดทขึ้นเรื่อยๆ เช่น ข้อมูล อู่ซ่อมรถ ตอนแรกมีอยู่ประมาณ 3,000 แห่ง ปัจจุบัน เพิ่มเป็น 8,000 ก็จะค่อยๆ เพิ่มฟังก์ชั่นต่างๆ เรื่อยๆ ต่อไปตัวแอพพลิเคชั่นก็จะมีฟังชั่นที่ตอบโจทย์กับประชาชนที่ใช้รถยนต์มากขึ้น

ดร.นงค์นาถ  : รายละเอียดการจัดงาน มีที่ไหน จัดกี่วัน บัตรเข้าชม มีลุ้นรางวัล อะไรบ้าง

คุณพีระพงศ์ : งานในปีนี้ยังจัดที่เดิมที่ Challenger Hall 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม- 4 เมษายน วันธรรมดาเปิด 12:00-22:00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เปิด 11:00-22:00 น. ด้านหลังของงานยังมีงาน Used car ถ้าใครสนใจไปดูได้ ปกติจะจัดคนละเวลาคนละอาคาร แต่ตอนนี้รวมมาจัดที่เดียวกันแต่เป็นด้านหลังของงาน  คือ ครบทั้งรถใหม่และรถมือสอง ก็สามารถเข้ามาชมเทคโนโลยี ลองขับ ลองนั่ง หรือดูเทคโนโลยีการพรีเซนท์ต่างๆ ได้ ส่วนคนที่สนใจจะซื้อในงานทุกๆ ค่ายรถมีแคมเปญที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ ใครที่สนใจซื้อรถก็อย่าพลาดงานนี้!


 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น