“Digital Identity” ทำให้การทำธุรกรรมเกิดได้เร็วขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปยืนยันตัวตนต่อหน้า มีความปลอดภัย
ทำให้เศรษฐกิจหมุนเร็วขึ้น จีดีพีมีโอกาสจะเติบโตมากขึ้น เศรษฐกิจประเทศขยายตัวมากขึ้น
ปกรณ์ ลี้สกุล CEO, Founder บริษัท ฟินีม่า จำกัด กล่าวว่า Digital Identity คือ การยืนยันตัวตนบนโลกดิจิทัล ซึ่งก่อนจะมีอินเตอร์เน็ต มีคอมพิวเตอร์ เรายืนยันตัวตนด้วยเอกสารในการทำธุรกรรมต่างๆ ใช้บัตรประชาชน ใบขับขี่ พาสปอร์ต ถ่ายสำเนา แล้วทำการยืนยันความเป็นเจ้าของด้วยการลงนามลายเซ็น ที่เรียกว่าเซ็นสำเนาถูกต้อง
![](https://www.smebiznews.com/wp-content/uploads/2020/10/ปกรณ์-ลี้สกุล-231x300.jpg)
เมื่อเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต ก็เปลี่ยนจากเอกสารเป็นการใช้บางอย่างในการยืนยันว่าเราเป็นคนคนนั้นจริงๆ ที่รู้จักกันโดยทั่วไปก็คือ ยูสเซอร์เนมกับพาสเวิร์ด ใช้แสดงตัวตนบนโลกออนไลน์ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา แต่บางครั้งก็ถูกแฮก ทำให้เป็นปัญหาใหญ่ว่าถ้าจะทำธุรกรรมที่สำคัญจริงๆ แค่ยูสเซอร์เนมกับพาสเวิร์ดเพียงพอหรือไม่ และกลายเป็น Global Agenda ของโลกว่าคำว่า Digital Identity จริงๆ คืออะไรกันแน่
ทำให้มีแนวคิดต่างๆ เกิดขึ้นมามากมาย แบบเดิมคือใช้ยูสเซอร์เนมกับพาสเวิร์ด มีแบบ Centralized และขยับเป็น Sharing ซึ่งแบบ Sharing ที่เห็นภาพง่ายๆ ก็คือเราสามารถเข้าเน็ตฟลิกซ์ได้โดยกดปุ่มเฟซบุ๊กล็อกอิน แล้วก็จะสามารถครีเอทแอคเคาท์ได้เลยในเน็ตฟลิกซ์ หรือจะไปสู่ระยะไกลคือทำให้การใช้เอกสารหายไป กลายเป็น Digital Identity ได้จริง ซึ่งแนวคิดนั้นก็คือ Self-Sovereign Identity
ปกรณ์ กล่าวว่า เมื่อมีการทำ Digital Identity เต็มรูปแบบแล้ว ถ้ามีธุรกรรมเกิดขึ้น เราจะมั่นใจว่าทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนโลกอินเตอร์เน็ตเกิดจากบุคคลนั้นจริงๆ ไม่ใช่คนอื่นเอายูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดของเขาไปใช้ ขโมยความเป็นตัวตนของเขาไป ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีระบบป้องกันรักษาความปลอดภัย ทำให้ธุรกรรมที่เกิดขึ้นเชื่อถือได้ โดยที่ไม่ต้องเดินทางมาแสดงตัวตนต่อหน้า ไม่ต้องใช้สำเนาบัตรประชาชน ลดการใช้กระดาษ ทำให้เกิดธุรกรรมอีกมากมาย ซึ่งกฎหมายก็เริ่มออกมารองรับการเซ็นสัญญาและการเซ็นลงนามบนโลกออนไลน์แล้ว
การที่เมืองไทยยังยืนยันตัวตนโดยใช้เอกสารเป็นส่วนใหญ่นั้น เนื่องจากมีคนเข้าใจพื้นฐานเรื่อง Digital Identity ไม่มาก ส่วนใหญ่จะเข้าใจเรื่องดิจิทัล อินฟราสตรักเจอร์ อย่างไรก็ตาม เมืองไทยเรามีการขยับและปรับตัวพอสมควรในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะได้ยินโปรเจกต์เกี่ยวกับ Identity เกิดขึ้นพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น เอ็นดีไอดี โมบายไอดี เฮลธ์ไอดี ก็มีการพัฒนาเรื่องพวกนี้พอสมควร
การเก็บข้อมูล Identity แบบกระจายศูนย์ หรือ Decentralized Digital Identity หรือ แนวคิด Self-Sovereign Identity ถ้าแปลตรงตัวคือการคืนอำนาจอธิปไตยในอัตลักษณ์ตัวเองให้กับประชาชน ถ้าเรามีอำนาจอธิปไตยในอัตลักษณ์ตัวเอง ก็แปลว่าไม่มีใครมาใช้อำนาจนี้ได้ ต้องเป็นเราคนเดียวเท่านั้น
ซึ่งคีย์เพลเยอร์สำคัญที่นำไปสู่ Self-Sovereign Identity ของโลกได้ คือ โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากมีคุณสมบัติ มีพื้นที่ปลอดภัยอยู่ในโทรศัพท์มือถือ และเราสามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า คีย์พิเศษ ตัวย่อคือ พีเคไอ (พับลิค คีย์ อินฟราสตรัคเจอร์) เวลาเราทำอะไรก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่ามาจากโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้จริงๆ
“สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ต่อไปเวลาเราจะเซ็นธุรกรรมโอนเงิน ไม่ใช่แค่การกดปุ่มซับมิต ทุกครั้งที่เรากดปุ่มซับมิต เราจะเอากุญแจเซ็นคำสั่งโอนเงินเซ็นลงไป แล้วส่งไปให้เซิร์ฟเวอร์รับ หรือปลายทางรับ พอเขาอ่านแล้วว่า มันมีซิกเนเจอร์ของคุณ แปลว่าอนุมัติให้โอนเงินได้ แต่ถ้ามันไม่ใช่ ก็ไม่มีใครโอนเงินออกจากกระเป๋าเงินออนไลน์ของคุณได้ ก็จะปลอดภัยมากขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น เพราะการเซ็นโอนเงินอาจจะกลายเป็นการสแกนคิวอาร์เหมือนพร้อมเพย์ก็ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังจะมีความปลอดภัยมากกว่านั้น”
ปกรณ์ กล่าวว่า ถ้าประเทศไทยทำให้ธุรกรรมเกิดเร็วได้ขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจก็คือเงินจะหมุนเร็วขึ้น รอบของเศรษฐกิจก็จะวิ่งเร็วขึ้น จีดีพีก็มีโอกาสที่จะเติบโตมากขึ้น เศรษฐกิจประเทศไทยก็จะขยายมากขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้จะมีส่วนไปช่วยลดการทุจริตได้ด้วย @