เอสเอ็มอี “อย่าตกขบวนรถไฟ ชิมช้อปใช้ พารวย”

ภาพจาก ชิมช้อปใช้.com

มาตรการ”ชิมช้อปใช้”ที่รัฐบาลออกมาส่งเสริมการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างล้นหลาม

ในช่วง 10 วัน ที่เปิดให้ประชาชนลงทะเบียน ปรากฏว่ามีคนเข้าไปลงทะเบียนครบ 1 ล้านคนในแต่ละวัน ตั้งแต่เวลา 02.00-03.00 น. หลังเปิดให้ลงทะเบียนในเวลา 00.01 น. มงคล ลีลาธรรม อดีต CEO SME Development Bank กล่าวว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไซส์เอสจะได้ประโยชน์จากมาตรการ“ชิมช้อปใช้” ที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์มใหม่ของตลาดการค้าบ้านเรา

จากข้อมูลที่รัฐบาลแถลงเช้าวันนี้ (2 ต.ค.62) หลังการเปิดให้ลงทะเบียน 10 วัน มีประชาชนลงทะเบียนครบ 10 ล้านคน แต่ก็มีผู้ที่ลงทะเบียนไม่ผ่านประมาณ 2 แสนรายต่อวัน จึงอาจมีลงทะเบียนซ่อมราว 2 ล้านกว่าราย

ส่วนการใช้จ่าย 5 วันแรก มีคนใช้สิทธิแล้วกว่า 7.06 แสนราย รวมเป็นเงิน 628 ล้านบาท ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน“เป๋าตัง” ที่รัฐบาลโอนเงินให้ 1,000 บาท โดยใช้ “ช้อป” ในร้านวิสาหกิจชุมชน ร้านธงฟ้าประชารัฐ ประมาณร้อยละ 50 หรือ 330 ล้านบาท “ชิม” พวกร้านอาหาร เครื่องดื่ม ประมาณ 98 ล้านบาท “ใช้” ในโรงแรม โฮมสเตย์ ประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนใช้จ่ายในร้านค้าขนาดใหญ่ หรือ ดิสเคาน์สโตร์ มีร้อยละ 22 หรือ 142 ล้านบาทเท่านั้น จะเห็นว่าเงินส่วนใหญ่ลงไปถึงชุมชนจริงๆ

สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแล้ว มาตรการ“ชิมช้อปใช้”จะนำไปสู่การค้ารูปแบบใหม่ จึงอยากให้ผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของร้านค้า ร้านอาหาร ที่พักโรงแรมต่างๆ ถือโอกาสนี้ในการปรับปรุงตัว และเข้าไปลงทะเบียน เพราะรัฐบาลยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมเป็นสถานที่ ร้านค้า สำหรับ“ชิมช้อปใช้” ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2562

ร้านค้าที่ไปลงทะเบียน“ชิมช้อปใช้” จะได้ประโยชน์ถึง 5 อย่าง คือ 1.จะได้เข้าไปอยู่ในแผนที่ถนนดิจิทัล ได้ลงในแผนที่การท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งจะมีปักหมุด เวลาคนเดินทางไปจังหวัดไหน แล้วอยากใช้“ชิมช้อปใช้” ร้านค้าของท่านก็จะปรากฏที่อยู่ในสื่อออนไลน์

2.จะมีเครื่องมือในการทำมาหากิน เรียกว่าแอปพลิเคชั่น“ถุงเงิน” ซึ่งร้านค้าไม่จำเป็นต้องรับเงินสด แต่สามารถใช้แอปนี้ในลักษณะที่เรียกว่าคิวอาร์โค้ด ถ้ามีสัญลักษณ์นี้อยู่หน้าร้านค้าก็สามารถให้คนที่มีอำนาจซื้อ ซึ่งเตรียมตัวจะใช้จ่ายถึง 10 ล้านคน เอามือถือไปแตะคิวอาร์โค้ด ชำระเงินได้เลย และภายในค่ำคืนนั้น เงินจะเข้าบัญชีที่ผู้ประกอบการเปิดบัญชีไว้กับธนาคารกรุงไทยเลยโดยไม่ต้องใช้เงินสด ทำให้สะดวกและไม่ต้องมีเงินทอน สามารถติดเป็นเศษสตางค์ได้

3. จะมีระบบงานให้ผู้ประกอบการด้วย ซึ่งระบบจะรายงานให้ทราบ ผู้ประกอบการสามารถไปพักร้อน ไปเที่ยวได้
โดยไม่ต้องกังวล เพราะปัจจุบันคนใช้แอปพลิเคชันหรือมือถือในการทำธุรกรรมทางการเงินถึง 96%

4. ได้เข้าสู่สังคมออนไลน์ จากที่กระทรวงการคลังแถลงว่ากลุ่มลูกค้าที่ใช้จ่ายผ่านแอป“เป๋าตัง” เป็นคนอายุต่ำกว่า 40 ปี ถึง 65% ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มวัยใช้จ่าย วัยท่องเที่ยว ทำให้ร้านค้าได้เข้าสู่โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่สังคมไร้เงินสดอย่างที่รัฐบาลต้องการ

5.ผู้ประกอบการจะเข้าสู่ระบบการเงินได้อย่างแท้จริง เมื่อขายสินค้าและบริการผ่านแอปนี้ ก็จะเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าผู้ประกอบการเป็นตัวจริง ทำจริง และมีรายได้จริงในระบบการค้า ทำให้สามารถขอสินเชื่อจากรัฐบาลได้ รวมทั้งจะมีเครดิตการค้าเพิ่มขึ้นจากคู่ค้าต่างๆ

มงคล คาดว่ามาตรการ“ชิมช้อปใช้”นั้น รัฐบาลน่าจะมีระลอก 2 และระลอก 3 ตามมา เพราะฉะนั้น ร้านค้าและผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการจะมีแต่ได้ประโยชน์ และได้อยู่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่เรียกว่ายุค 4.0 อย่างแท้จริง ร้านค้าที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ถึงวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ในส่วนภูมิภาคให้ไปที่สำนักงานคลังจังหวัด และส่วนกลางไปสมัครได้ที่กรมบัญชีกลาง ที่ห้องกำปั่นเงิน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 ทุกวัน ไม่หยุดเสาร์-อาทิตย์

ในการสมัครให้เอาหนังสือรับรองการประกอบการค้า หนังสืออนุญาตจากส่วนราชการ เช่น ใบจดทะเบียนพาณิชย์
หนังสือจดทะเบียนการค้า หรือรับรองจากหน่วยงานราชการต่างๆ หรือหนังสือรับรองจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เทศบาล กทม. ถ้าไม่มีหน่วยงานราชการใดรับรองได้ ก็สามารถให้หน่วยงานอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการอยู่ เซ็นรับรองได้ เช่น ขายของอยู่สำนักงานที่ดิน ก็ให้หัวหน้าสำนักงานที่ดินรับรองตัวตนว่าทำการค้าอยู่จริง

ที่สำคัญ อยากให้ทุกคนเปิดบัญชีกับธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการแอป “เป๋าตัง” กับ“ถุงเงิน” ไม่ว่าจะเป็นประเภทออมทรัพย์ หรือกระแสรายวัน เพราะเงินจะเข้าวันนั้นเลย แต่ถ้าผู้ประกอบการเปิดบัญชีต่างธนาคารก็อาจไม่สะดวก และในอนาคตอาจมีค่าใช้จ่าย ผู้ประกอบการต้องใช้สมาร์ทโฟน พร้อมเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ และมีหมายเลขโทรศัพท์เพื่อจะได้ติดตั้งแอป“ถุงเงิน”ของรัฐบาล

“แอป“ถุงเงิน” จะมี 2 วงเงิน วงเงินแรก 1,000 บาท ส่วนวงเงินที่ 2 จะได้เงินถึง 3 หมื่นบาท จาก Cash Back 15% ดังนั้นช่วงนี้อยากให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งหลายถือโอกาสนี้ไปรีบลงทะเบียนร่วมโครงการ เพราะมีคนจะใช้เงินถึง 10 ล้านคน ตอนนี้มีร้านค้าลงทะเบียนยังไม่ถึง 2 แสนราย เพราะฉะนั้น เราจะได้ส่วนแบ่งตรงนี้เยอะมากในแต่ละจังหวัด” มงคล กล่าว

มงคล บอกด้วยว่า รัฐบาลยังจัดโปรโมชั่นใหญ่ให้คนเที่ยวตามภูมิภาค เมื่ออังคารที่ผ่านมา โดยออกมาตรการ“ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” จัดโปรแกรมทัวร์ขาย 100 บาทต่อ 1 โปรแกรม ทำ 1 หมื่นรายการ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลใช้มาตรการทั้งผลักทั้งดัน เชื่อว่าถ้าแนวโน้มเป็นอย่างนี้ จะสามารถเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย และเพิ่มจีดีพีประเทศ โดยกระตุ้นได้ประมาณ 0.25-0.35% ซึ่งอาจจะเห็นจีดีพีถึง 3% ได้ @

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น