ธุรกิจมีธรรม มิติใหม่ “ชุมพรคาบาน่า” เพื่อมหาชน #1

saveชุมพรคาบาน่า

ผู้จัดการชุมพรคาบาน่ารีสอร์ท เผย หลังใช้หนี้ยุคต้มยำกุ้ง-แฮมเบอร์เกอร์หมด จะทำให้ที่ดินเป็นของทุกคน ตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้และบริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร ใช้ “ธรรม” นำหน้าธุรกิจ

เมื่อครั้งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 มีนักธุรกิจหลายรายที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งบริษัทชุมพรคาบาน่า จำกัด ที่ต่อมาถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือ วิกฤตซับไพรม์ ในปี 2550 “วริสร รักษ์พันธุ์” กรรมการผู้จัดการชุมพรคาบาน่ารีสอร์ท ที่หาดทุ่งวัวแล่น กล่าวในรายการ “ลับคมธุรกิจ” ทางคลื่นมิติข่าว 90.5 ว่า วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์นั้นเป็นปัญหาโครงสร้าง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงิน ทำให้นักธุรกิจหลายคนไหวตัวไม่ทัน รวมทั้งชุมพรคาบาน่าที่ยังไม่ทันได้ปรับโครงสร้างหนี้ ก็มีการขายธนาคารที่ชุมพรคาบาน่าเป็นหนี้อยู่ให้ต่างชาติไปแล้ว

 

saveชุมพรคาบาน่า ซึ่งเจ้าหนี้ใหม่ที่เป็นต่างชาติก็อยากได้ที่ดินตรงนี้ไปทำโรงแรม ทั้งที่ตอนนั้นชุมพรคาบาน่าได้ตั้งเป็นศูนย์ฝึกอบรมเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่เจ้าหนี้แปลผิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เขาไม่ได้แปลว่าเป็นเรื่องการประกอบธุรกิจที่มีคุณธรรม คิดถึงผู้ผลิต ผู้บริโภค เขาคิดว่าเป็นเกษตรกรรมอย่างเดียว เขาจึงคิดว่าจะเอาที่ตรงนี้ไปทำโรงแรมดีกว่า และใช้กระบวนการทางกฎหมายบีบเราสารพัด เพื่อจะเอาที่ดินให้ได้ แม้เราจะยกที่ดินตรงนี้ให้ ทั้งที่ราคาที่ดินสูงกว่าหนี้ที่เขาซื้อไป แต่เจ้าหนี้ก็ไม่เอา เพราะเขาอยากได้ที่ดินผืนติดกันที่สวยกว่า แต่เป็นของคุณแม่ตนเองและไม่ได้ติดจำนอง ซึ่งคุณแม่ก็เป็นคนค้ำประกันให้ชุมพรคาบาน่า เขาจึงฟ้องชุมพรคาบาน่า เพื่อหวังดึงทรัพย์สินของผู้ค้ำประกันมาด้วย

ต่อมาชุมพรคาบาน่าก็ถูกฟ้องล้มละลาย ซึ่งมีข้อสงสัยเต็มไปหมดว่าล้มได้อย่างไร และเป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติหลายขั้นตอน ศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติที่เห็นจากกรณีของเรา และเห็นพฤติกรรมหลายๆ อย่าง คนไทยหลายคนถูกกระทำ จึงได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งเป็นกรณีที่เราคัดค้านการเรียกร้องสิทธิการเป็นเจ้าหนี้ของเขามาตั้งแต่แรกแล้วก็ค้านมาโดยตลอด ตนเองก็เดินทางไปเรียกร้องขอความเป็นธรรมทุกกระทรวง ทบวง กรม ตลอดระยะเวลา 4 ปี แต่ไม่มีความคืบหน้า

ถวายสัตย์ปฏิญาณตั้งแต่ปี 40 หมดหนี้เมื่อไรจะทำให้ที่ดินเป็นของทุกคน

ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2540 ที่ชุมพรคาบาน่าได้รับพระเมตตาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 “วริสร” กล่าวว่า เราก็ได้สืบสานงานของพระองค์ท่าน ตั้งเป็นศูนย์ขับเคลื่อนเรื่องการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับการใช้ปรัญญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในชีวิต ต่อมาในปี 2542 ได้เจอ อ.ยักษ์ หรือ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เข้ามาช่วยทำเรื่องศูนย์ฝึกอบรมเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็ทำมาเรื่อยๆ จนปี 2549 ถึงทำเป็นศูนย์ฝึกอบรมเต็มรูปแบบ ก็ฝึกอบรมไป 70 รุ่น ประมาณ 7,000 คน

ซึ่งตั้งแต่ปี 2540 ตนเองได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไปแล้วว่าถ้าหมดหนี้เมื่อไร จะทำให้ที่ดินตรงนี้เป็นของทุกคน ทำให้เป็นศูนย์เรียนรู้และบริการแบบเบ็ดเสร็จที่ครบวงจร มีทั้งเรื่องอาหาร สุขภาพ การท่องเที่ยวโดยรักษาสภาพแวดล้อมและเสริมวิถีชุมชน โดยตนเองจะทำหน้าที่เป็น รปภ.เฝ้าดูแล เราก็ทำมาเรื่อยๆ ทำมาตลอด แต่กลุ่มลูกศิษย์ของ อ.ยักษ์ เห็นว่าถ้าเราทำแบบนี้จะไปไม่รอด เขาก็เลยกล้าหาญไปคุยกับบริษัทต่างชาติโดยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งประสานงานให้

ซึ่งเจ้าหนี้ก็บอกว่าถ้าจะจบได้ก็ต้องจบในราคาที่เขามีค่าเสียเวลาพอสมควร ก็เลยเกิดเป็นข้อตกลงว่าบริษัทเจ้าหนี้จะขายหนี้ให้กลุ่มใหม่ คือ “ธรรมธุรกิจ” 130 ล้านบาท ต่ำกว่าราคาประเมินพอสมควร ซึ่งกฎหมายก็เปิดช่องให้ประนอมหนี้ได้หลังล้มละลาย ถ้าเจ้าหนี้ยอมก็เจรจากันได้และตกลงชำระหนี้ ทุกอย่างกลับคืนสู่สถานะปกติ

saveชุมพรคาบาน่า

ถ้าทำสำเร็จ จะเป็นตัวอย่างให้คนหันมาทำธุรกิจโดยมี”ธรรม”นำหน้า

“วริสร” กล่าวว่า สิ่งที่เราทำ เรามีอุดมการณ์ที่จะสืบสานงานมาตลอด 20 ปี เป็นทฤษฎีใหม่ และเราได้ตรวจสอบกฎระเบียบ กฎหมายทุกอย่างแล้วว่าสามารถทำได้ แต่ที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำกัน อาจมองเรื่องประโยชน์ส่วนตนว่ามีความเสี่ยง แต่เมื่อมองถึงประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง และด้านความเพียรที่บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรจะหยุดหรือขวางขบวนบุญได้ และเราต้องทำให้ไม่มีมลทิน ไม่มีความคิดที่จะมาหาประโยชน์ตรงนี้

 

ในยุคของ disrupt ที่จะเปลี่ยนโมเดลทุกอย่าง อันนี้ก็เป็นความตั้งใจ เป็นมุมคิดมุมมองหนึ่ง ถ้าทำได้สำเร็จ ก็จะเป็นตัวอย่างให้คนหันมาทำธุรกิจโดยมี “ธรรม” นำหน้า

 

ภาพ : facebook.com/Chumphon Cabana ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติชุมพรคาบาน่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น