ในที่สุด โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามคำสั่งบริหาร (Executive orders) จัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก “บราซิล” เพิ่มเป็น 50% ลงโทษรัฐบาลแซมบ้าฐานมีพฤติกรรม “ล่าแม่มด” หลังดำเนินคดีนายฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีบราซิล ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองคนสำคัญของทรัมป์
ทว่าผู้นำทรัมป์ให้ “ชะลอ” การบังคับใช้ออกไปเป็น 6 สิงหาคมนี้ จากเดิมที่กำหนดเส้นตายไว้ในวันที่ 1 สิงหาคม เข้าใจว่าเป็นการเปิดช่องเพื่อเจรจาต่อรองบนเงื่อนไขที่ยังปิดดีลไม่ได้ของเกมภาษีทรัมป์
ในการลงนามคำสั่งบริหารล่าสุดต่อบราซิลของผู้นำสหรัฐนั้น ได้มีการ “ยกเว้น” สินค้าบางประเภท เช่น น้ำส้ม, ผลิตภัณฑ์พลังงาน และชิ้นส่วนผลิตเครื่องบินบางชนิด แต่ข่าวไม่ได้บอกว่าสินค้าบางรายการเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษีเลย หรือเสียในอัตราพื้นฐานคือ 10% อันเป็นระดับกำแพงภาษีเริ่มต้นของทรัมป์

ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน สงครามกำแพงภาษีของทรัมป์ก็เฉกเช่นกัน เปลี่ยนแปลงไปมาได้ตลอดเวลา แล้วก็มี “เงื่อนไขใหม่” เพิ่มเติมเข้ามา ชวนให้ปวดขมับอยู่เนืองๆ ไม่เฉพาะไทยเรา แต่รวมไปถึงทุกประเทศ
ก่อนหน้านี้เพียงวันเดียว “โฮเวิร์ด ลัทนิค” รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ ให้สัมภาษณ์สถานีข่าวซีเอ็นบีซีว่า การนำเข้าสินค้าเกษตรที่ไม่ได้ปลูกในสหรัฐ เช่น กาแฟ, โกโก้, มะม่วง และสับปะรด อาจได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรในข้อตกลงการค้า “ฉบับใหม่” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งตอนนี้รัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่
ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างคำพูดของรมว.พาณิชย์สหรัฐที่ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ตกลงที่จะกำหนดอัตราภาษีนำเข้าเป็น “0%” สำหรับสินค้าเกษตรที่ไม่ได้ปลูกในสหรัฐอเมริกา ในข้อตกลงการค้าที่ทรัมป์ปิดดีลไปแล้ว รวมถึงข้อตกลงการค้ากับอินโดนีเซียและสหภาพยุโรป (อียู)
สื่อสหรัฐบางแห่งยังให้ข้อมูลว่า ความเคลื่อนไหวใหม่ของทรัมป์อาจเป็นประโยชน์ต่อประเทศผู้ส่งออก เช่น บราซิล แม้นายลัทนิค ไม่ได้ระบุว่าประเทศใดอยู่ในข่ายที่จะได้รับการยกเว้นภาษีสินค้าเกษตรบ้างก็ตาม
อย่างไรก็ดี เว็บไซต์ข่าวสารวงการกาแฟระหว่างอย่างเดลี่คอฟฟี่นิวส์ให้ความเห็นว่า ตลอดการสัมภาษณ์ซีเอ็นบีซี นายลัทนิค มหาเศรษฐีนักการเงินและอดีตซีอีโอวาณิชธนกิจใหญ่แคนเตอร์ ฟิตซ์เจอรัลด์ ยังคงยืนกรานว่า “ประเทศผู้ส่งออก” จะเป็นผู้จ่ายภาษีศุลกากร แต่ในความเป็นจริง ภาษีศุลกากรนี้จะทำให้บริษัทสหรัฐเองมีต้นทุนนำเข้าเพิ่มขึ้น เช่น บริษัทนำเข้ากาแฟ ซึ่งปกติมักจะผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังบริษัทต่างๆ อีกทอด เช่น ร้านกาแฟและโรงคั่วกาแฟ เป็นต้น

แม้คำสั่งฝ่ายบริหารของทำเนียบขาวไม่ได้ระบุรายชื่อกาแฟที่มาจากบราซิลไว้ในรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีล่าสุด แต่รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐก็ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์ “เปิดช่อง” ให้ทุกชาติ ในการเจรจาการค้ารอบใหม่ จะไม่เก็บภาษีสินค้าเกษตรที่สหรัฐปลูกเองไม่ได้
เรื่องกาแฟนี่เป็นประเด็นใหญ่มากในแวดวงสื่อเมืองลุงแซม อาจเป็นเพราะคนอเมริกันดื่มกาแฟกันมากมายมหาศาลมากพอๆกับน้ำเปล่าเลยทีเดียว พอแบรนด์ร้านกาแฟใหญ่ๆเช่น “สตาร์บัคส์” ขยับขึ้นราคากาแฟทีไร ก็มักตกเป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่งเสียทุกครั้ง จนมีคนเปรียบเทียบว่าราคากาแฟต่อแก้วเป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจเลยทีเดียว
ลองมาดูตัวเลขเหล่านี้กันครับ ก็อาจทำให้เข้าใจได้ว่ากาแฟ “สำคัญ” ต่อวิถีชีวิตคนอเมริกันมากขนาดไหน
โดยเฉลี่ยแล้วชาวอเมริกันดื่มกาแฟประมาณวันละ 3 แก้ว ตกเฉลี่ยต่อวันก็ 400 ล้านแก้ว ปีหนึ่งๆก็ตก 146,000 ล้านแก้ว แถมอัตราการบริโภคก็เพิ่มขึ้นในทุกๆปี เมื่อดื่มกันมาก ก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศมากตามไปด้วย ตัวเลขนำเข้ากาแฟเมื่อปีที่แล้วก็อยู่ในราว 1.7 ล้านตัน
สหรัฐนำเข้ากาแฟจาก “บราซิล” มากที่สุด มีสัดส่วนสูงถึง 30% ของยอดนำเข้า ตามด้วยโคลอมเบีย 20% และเวียดนาม 10% ที่เหลือก็เป็นเอธิโอเปียกับอินโดนีเซีย ถ้าแยกเป็นในส่วนตลาดกาแฟพิเศษ สหรัฐนำเข้าจากกัวเตมาลามากที่สุด

ว่ากันว่าหนึ่งในจุดประสงค์ของนโยบายตั้งกำแพงภาษีสูงๆ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ก็คือต้องการให้คนอเมริกันหันมาบริโภคสินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้น แต่เป้าหมายนี้ไม่สามารถ “ตอบโจทย์” สินค้าหลายประเภท ยกตัวอย่างกาแฟ สหรัฐมีแหล่งปลูกกาแฟอยู่ 3 แห่งคือที่ฮาวาย, แคลิฟอร์เนีย และเปอร์โตริโก (เครือรัฐของสหรัฐ) รวมกันแล้วมีกำลังผลิตแต่ละปีเพียง 25,000 ตัน ไม่ถึง 1% ของยอดดื่มกาแฟทั้งประเทศ
แต่เพื่อสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศ เมื่อเร็วๆนี้สภาล่างของสหรัฐได้นำกาแฟจากไร่พาโนรามาใน “เปอร์โตริโก” มาเสิร์ฟและจำหน่ายตามร้านขายของที่ระลึกบนอาคารแคปิตอลฮิลล์ เปิดพื้นที่ให้สินค้าที่ผลิตในสหรัฐโดยเฉพาะจากเปอร์โตริโก ได้มีที่ยืนในระบบเศรษฐกิจระดับชาติ
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน แคทเธอรีน คอร์เตซ มาสโต วุฒิสมาชิกรัฐเนวาดาจากพรรคเดโมแครต โพสต์ภาพใบเสร็จรับเงินบนแอปพลิเคชัน X แสดงคำสั่งซื้อกาแฟโคลด์บรูว์ 1 แก้ว ราคา 4.50 ดอลลาร์ และถูกชาร์จเพิ่ม 10% เป็นค่า “ภาษีศุลกากร” (Tariff Adjustment) พร้อมคำบรรยายภาพว่า “โดนัลด์ ทรัมป์ อ้างว่าประเทศอื่นๆ จะจ่ายภาษีศุลกากรให้เขา นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในเมืองรีโน”
โพสต์ดังกล่าวมียอดผู้เข้าชมหลายแสนวิว และก่อให้เกิดการ “ถกเถียง” กันว่าเรื่องนี้สะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ต่อผู้บริโภคชาวอเมริกัน หรือเป็นกรณีร้านกาแฟใช้ประโยชน์จากประเด็นทางการเมืองเป็นข้ออ้างเพื่อขึ้นราคาสินค้า
วุฒิสมาชิกรัฐเนวาดาไม่ได้ระบุว่าเธอถ่ายภาพนี้หรือไม่ และถ่ายที่ไหน เมื่อถูกสอบถามเพื่อขอความเห็น โฆษกของวุฒิสมาชิกรายนี้ให้สัมภาษณ์นิตยสารนิวส์วีคว่าภาพนี้ถ่ายที่ “ร้านกาแฟท้องถิ่น” ในเมืองรีโน รัฐเนวาดา นั่นเอง

ผู้เขียนตามไปอ่านคอมเมนต์ใต้โพสต์ของท่านวุฒิสมาชิกหญิง ปรากฎว่ามีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและเห็นต่าง แต่ดูฝ่ายหลังจะมีจำนวนมากกว่า เช่น มีคนเห็นแย้งว่าประเทศอื่นต่างหากที่ต้องจ่ายเพิ่ม เพราะชาวอเมริกันหันมาซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศกันมากขึ้น นี่เป็นการส่งเสริมสินค้า “เมดอินยูเอสเอ” นะ
มีบางรายถามว่าทำไมไม่บอกให้สตาร์บัคส์ซื้อกาแฟจากฮาวายล่ะ
เช่นกันที่มีบางคอมเมนต์บอกว่า ซื้อกาแฟจากร้านไหน จะได้ไม่ไปซื้อ!
เคสรถทัวร์ลงฉ่ำๆนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงข่าวชิ้นหนึ่งเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตอนนั้น บริษัท “แอมะซอน” (Amazon) กำลังพิจารณาติดป้ายสินค้าที่วางขายบนแพลตฟอร์ม ให้ลูกค้ารู้ว่าภาษีของรัฐบาลทรัมป์ส่งผลต่อราคาสินค้าของบริษัทมากน้อยขนาดไหน ต่อมาแอมะซอนได้ออกโรงปฏิเสธเรื่องดังกล่าว หลังจากโดนทำเนียบขาวตำหนิว่าเป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์
อันที่จริงในสหรัฐอเมริกา บรรดาสื่อ,นักวิชาการ และนักเศรษฐศาสตร์ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันมานานแล้วว่า เรื่องการตั้งกำแพงภาษีนำข้าสูงๆ แม้จะช่วยลดตัวเลขขาดดุลการค้าให้กับรัฐบาลสหรัฐได้ก็จริงอยู่ แต่ “สุดท้าย” แล้วชาวอเมริกันโดยรวมจะเป็นผู้ควักเงินจ่ายค่าสินค้านำเข้าที่มีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะกับสินค้าที่สหรัฐผลิตเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแทบทั้งหมด

สมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐเคยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทำเนียบขาวยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าสินค้า “กาแฟ” หวั่นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะอุตสาหกรรมกาแฟสหรัฐมีส่วนแบ่งราว 8% ของมูลค่าภาคบริการด้านอาหาร, สร้างงานได้ 2.2 ล้านตำแหน่ง และเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจสหรัฐปีละกว่า 343,000 ล้านดอลลาร์
กระนั้นก็ตาม หากว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้อีก หลัง 6 สิงหาคมเป็นต้นไป การนำกาแฟจากบราซิลเข้าสู่ตลาดสหรัฐ จะต้องถูกเก็บภาษีในอัตรา 50% นั่นหมายความว่าโรงคั่วและร้านกาแฟที่นำเข้ากาแฟแดนแซมบ้าจะมีภาระต้นทุนที่เพิ่มสูง หากแบกรับกันไม่ไหว อั้นกันไม่อยู่ ก็ต้องผ่องถ่ายไปสู่ฝั่งผู้บริโภค
โรงคั่วควบร้านกาแฟอิสระรายเล็กๆอย่าง “อลาเคฟ โรสต์ส คอฟฟี่” (Alakef roasts coffee) ในรัฐมินนิโซตา และ “ร็อค ซิตี้ คอฟฟี่” (Rock City Coffee) จากรัฐเมน ประกาศขึ้นราคากาแฟรับนโยบายกำแพงภาษีของผู้นำสหรัฐไปเรียบร้อยแล้ว
เจ้าของโรงคั่วอลาเคฟ โรสต์ส คอฟฟี่ ให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นว่า กาแฟเป็นสินค้าที่ต่อรองได้ยาก เพราะไม่สามารถปลูกได้จริงบนแผ่นดินใหญ่สหรัฐ ดังนั้น ภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากบราซิลทำให้คนคั่วกาแฟรู้สึกเหมือน “หมดทางเลือก”

โรงคั่วกาแฟอลาเคฟจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่วจาก 15 ประเทศ รวมทั้งบราซิลด้วย ในแต่ละสัปดาห์มียอดขายประมาณ 2,700 กิโลกรัม
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ ระบุว่า ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ราคากาแฟคั่วบดเฉลี่ยหนึ่งปอนด์ (454 กรัม) ในตลาดสหรัฐ อยู่ที่ 7.93 ดอลลาร์ สูงกว่าราคาในปี 2024 ที่ 5.99 ดอลลาร์ ล่าสุด เดือนมิถุนายน ราคากาแฟคั่วบดขยับขึ้นอีก 12.7% เป็น 8.13 ดอลลาร์ต่อหนึ่งปอนด์ ส่วนราคากาแฟสำเร็จรูปพุ่งขึ้น 16.3%
สิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าสำหรับคอกาแฟอเมริกันก็คือ การปรับขึ้นราคากาแฟตามร้านรวงค่าเฟ่ รวมไปถึงเมล็ดกาแฟคั่วบดบรรจุถุงที่วางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ด้วย ส่วนจะปรับเพิ่มมากหรือน้อยขนาดไหนก็ขึ้นอยู่ “สายป่านการเงิน” ของแต่ละร้าน ถ้าเป็นรายย่อยก็หนักแน่ๆ
ความหวังที่เป็น “ทางออก” และเป็น “ทางรอด” ของธุรกิจกาแฟอเมริกันที่ทำให้คอกาแฟไม่ต้องควักเงินมากขึ้น และช่วยเซฟเสียงวิจารณ์ผู้นำทำเนียบขาวได้ในระดับหนึ่ง คงต้องรอดูผลการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐกับบราซิล จะมีการยกเว้นภาษีเพิ่มเติมให้กับสินค้าเกษตรอย่างกาแฟด้วยหรือไม่ และจะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง
ไม่นานก็คงรู้กันว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะหลอกกันเล่นหรือเปล่า?
facebook : CoffeebyBluehill








