ตลาดกาแฟสำเร็จรูปใน “เวียดนาม” ถือว่าบูมมากๆ ได้รับความนิยมในกลุ่มคอกาแฟมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟซองนั้น นอกจากบริโภคกันเป็นล่ำเป็นสันภายในประเทศแล้ว ยังส่งออกไปขายยังตลาดประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แม้กาแฟที่ผลิตได้ในประเทศส่วนใหญ่จัดอยู่ในเกรดคอมเมอร์เชียล แต่ก็ถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่เอามากๆ ทีเดียว
กาแฟสำเร็จรูปสไตล์ดั้งเดิมของเวียดนามขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่หอมเข้มข้น การคั่วกาแฟมักนิยมนำเนยลงไปผสมด้วย จนเป็นเอกลักษณ์ทางกลิ่นรสในยุคหนึ่ง
แน่นอนว่าเมล็ดกาแฟส่วนใหญ่ที่ใช้กันคือ “โรบัสต้า” ซึ่งถือกาแฟสายพันธุ์หลักที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมกาแฟท้องถิ่นมาหลายร้อยปี จวบจนเป็นพืชเศรษฐกิจตัวสำคัญที่สร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศในฐานะสินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ในปัจจุบัน
ผู้เล่นในตลาดกาแฟอินแสตนท์แบบบรรจุซองก็มีมากหน้าหลายตาทีเดียว แบรนด์ต่างประเทศก็มี “เนสกาแฟ” (Nescafé), “แม็คคอฟฟี่” (Maccoffee) และ “ไฮแลนด์ส คอฟฟี่” (Highlands Coffee) ซึ่งเดิมเป็นแบรนด์กาแฟท้องถิ่นเวียดนาม ต่อมาถูกซื้อกิจการไปโดยเครือข่ายร้านอาหารจานด่วนจากแดนตากาล็อก

แม้เนสกาแฟจะเปิดตลาดเวียดนามมานานและถือเป็นบิ๊กเนมในตลาดโลก แต่ก็ไม่ได้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงมากนัก กลับตกอยู่ในวงล้อมการแข่งขันอันดุเดือดจากแบรนด์กาแฟเจ้าถิ่นหลายแห่งด้วยกัน เช่น จี7ของ “ตรุง เหงียน ลีเจนท์” (Trung Nguyen Legend), “วิน่าคาเฟ่” (Vinacafe) และ “คอง คาเฟ่” (Cong Caphe) ซึ่งล้วนเป็นชื่อยี่ห้อกาแฟที่คนไทยรู้จักกันดีทั้งสิ้น
พูดถึงตัว “กาแฟซอง” เองก็มีมากรูปแบบ ทั้งแบบกาแฟดำที่เป็นกาแฟเพียวๆ, ผสมครีมเทียมลงไปก็เป็นแบบ 2 อิน 1, เติมน้ำตาลทรายลงไปด้วยก็ 3 อิน 1 ยาวไปยัน 5 อิน1 ที่อาจมีส่วนผสมเพิ่มเติมจากกลิ่นมะพร้าวกะทิ และอาหารเสริมต่างๆ เช่น โสม หรือคอลลาเจน
การใส่สารปรุง “แต่งกลิ่น” ในตลาดกาแฟเวียดนามทำมานานมากแล้วเช่นกัน ใช้กันทั้งสารแต่งกลิ่นธรรมชาติ (Natural flavoring) และสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ (Artificial flavoring) กลิ่นยอดนิยมที่มีการปรุงแต่งเพิ่มเติมลงไปเสริมรสชาติกาแฟ ก็เช่น กลิ่นมะพร้าวกะทิและกลิ่นวานิลลา
อยากรู้ว่ากาแฟตัวไหนใช้สารแต่งกลิ่นหรือไม่ ขอให้ดูที่ฉลากผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ หลายๆ เจ้าทำไว้เป็นมาตรฐาน เป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคได้ตัดสินใจ ถ้าแต่งกลิ่นแล้วไม่บอกกล่าวกันให้รู้แจ้งเห็นจริง ถือว่าเอาเปรียบผู้บริโภคมากๆ
คอแฟต้องใส่ใจในเรื่องเหล่านี้ เพราะนอกจากทำธุรกิจไม่โปร่งใสแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยของผู้ดื่มด้วยโดยตรงไม่มากก็น้อย

ปัจจุบันเวียดนามเป็น “ผู้ส่งออก” กาแฟอันดับสองของโลกรองจากบราซิล แต่ครองแชมป์ส่งออกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าเป็นเบอร์หนึ่งเหนือทุกประเทศ สาเหตุความนัยของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปในช่วงที่เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส แล้วฝรั่งเศสก็มีนโยบายส่งเสริมให้เวียดนามปลูกกาแฟโรบัสต้า เพื่อทำเป็นกาแฟสำเร็จรูปส่งไปขายยังตลาดฝรั่งเศสและประเทศยุโรปอื่นๆ
วิศวกรชาวฝรั่งเศสเปิดโรงงานผลิตกาแฟสำเร็จรูปแห่งแรกในเวียดนาม เมื่อปี ค.ศ.1969 ใช้ชื่อว่า “โคโรเนล คอฟฟี่ แพลนท์” (Coronel Coffee Plant) ในจังหวัดด่งนาย ไม่ไกลจากโฮจิมินห์ หลังจากที่เวียดนามประกาศเอกราช โรงงานแห่งนี้ก็ถูกรัฐบาลเวียดนามเข้าเทคโอเวอร์ในปีค.ศ.1975
ต่อมาโรงงานแห่งนี้ได้แปลงสภาพมาเป็นแบรนด์กาแฟรัฐวิสาหกิจ ในนาม “วิน่าคาเฟ่ เบียนฮวา” ซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งต่ออุตสาหกรรมกาแฟในช่วงแรกๆ ยุคนั้นก็มีการส่งออกกาแฟไปยังตลาดรัสเซียและยุโรปตะวันออกด้วย ขณะที่ยุคนี้มี กาแฟซอง “โกลด์ ออริจินัล” ที่เบลนด์ด้วยโรบัสต้ากับอาราบิก้า เป็นผลิตภัณฑ์เรือธง ขายความเป็นกาแฟดั้งเดิมที่ผลิตมานานกว่า 20 ปี
วิน่าคาเฟ่ แตกแบรนด์ลูกออกมาเล่นในตลาดแมสนั่นก็คือ “เวก-อัพ”‘ (Wake-Up)
ปัจจุบัน มาซาน เบฟเวอเรจ ในเครือมาซาน กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจากโฮจิมินห์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่วิน่าคาเฟ่ ในสัดส่วน 98%

ย่างเข้าปีค.ศ.1995 นั่นแหละครับท่านผู้อ่าน เนสท์เล่ ยักษ์ใหญ่วงการอาหารและเครื่องดื่มระดับโลกจึงกระโดดเข้าสู่ตลาดกาแฟเวียดนาม ในรูปแบบบริษัทต่างประเทศ 100% ไม่ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทท้องถิ่นใดๆ ตั้งโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง เน้นใช้เมล็ดกาแฟของเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์กาแฟซอง “เนสกาแฟ คาเฟ่ เวียด” (Nescafé Café Viet) ช่วยให้เนสกาแฟมีส่วนแบ่งทางการตลาดในเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ล่าสุด เนสท์เล่ ในฐานะหนึ่งในผู้ซื้อสารกาแฟโรบัสต้าควบผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ในเวียดนาม ฉลอง 30 ปีแห่งการเปิดตลาดในประเทศนี้ ประกาศทุ่มเงิน 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบๆ 2,500 ล้านบาท เพื่อขยายการผลิตเครื่องดื่มกาแฟที่โรงงาน “เนสท์เล่ ไตรอัน” ในจังหวัดด่งนาย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในตลาดเวียดนามและต่างประเทศ
ปัจจุบัน เนสท์เล่ ไตรอัน ถือเป็นโรงงานหลักในการผลิตกาแฟหลายแบรนด์ที่อยู่ในพอร์ตของเนสท์เล่ ได้แก่ เนสกาแฟ, เนสเพรสโซ่, เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต และบลู บอทเทิ่ล รวมไปถึงกาแฟสำเร็จรูปของสตาร์ลบัคส์ด้วย รวมๆ แล้วก็ส่งออกไปถึง 29 ประเทศด้วยกัน
เนสกาแฟ คาเฟ่ เวียด มีกาแฟซองขายดีอยู่หลายตัว โดยเฉพาะ “แบล็ค ไอซ์ คอฟฟี่” กับ “มิลกี้ ไอซ์ คอฟฟี่” ที่มีกาแฟกับครีมเทียมเป็นส่วนผสมในแบบ 2 อิน 1

เมื่อพูดถึงกาแฟสำเร็จรูปเวียดนาม จะข้ามแบรนด์นี้ไปไม่ได้เลย ใช่ครับ เป็น “จี7″ (G7) แบรนด์กาแฟดังของค่ายตรุง เหงียน ลีเจนท์ ที่มีประธานวู หรือดัง เล เหงียน วู เจ้าของฉายาราชากาแฟเวียดนาม เป็นเจ้าของธุรกิจ
จี7 เปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปีค.ศ. 2003 หรือกว่า 20 ปีมาแล้ว เป็นที่นิยมมากๆ ไม่เฉพาะแต่ในเวียดนามเท่านั้น แต่รวมไปถึงต่างประเทศด้วย ตอนนี้ส่งออกไปประมาณ 60 ประเทศทั่วโลก มีทั้งแบบกาแฟดำ,เอสเพรสโซ่ และคาปูชิโน่ ขณะที่สินค้าขายดีก็จะเป็นแบบ 3 อิน 1
ในเว็บไซต์ของตรุง เหงียน ลีเจนท์ ให้ข้อมูลว่า กาแฟจี7 ใช้เมล็ดกาแฟเบลนด์จากเวียดนาม,บราซิล,เอธิโอเปีย และจาไมก้า แต่ก็ไม่ได้ระบุถึงสัดส่วนของเมล็ดกาแฟที่ใช้เบลนด์ ก็น่าเป็นความลับทางธุรกิจนั่นแหละครับ
“คิง คอฟฟี่” (King Coffee) เป็นแบรนด์กาแฟเวียดนามที่มาแรงทีเดียว เจ้าของคือ ลี ฮอง เดียบ เถา หรือที่รู้จักดีในชื่อมาดามเถา เธอเคยเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจกาแฟตรุง เหงียน ลีเจนท์ ก่อนแยกตัวไปตั้งโรงงานผลิตกาแฟทีเอ็นไอ คิง คอฟฟี่ เมื่อปี ค.ศ. 2016 มีกาแฟซอง “คิง คอฟฟี่ เพียวร์ แบล็ค” เป็นสินค้าขายดีของค่าย
อีกแบรนด์กาแฟน้องใหม่ที่ชื่ออาจทำให้เกิดความสับสนกับแบรนด์ข้างบน ก็คือ “เค-คอฟฟี่” (K-Coffee) แบรนด์นี้ผลิตกาแฟหลายรูปแบบ รวมไปถึงกาแฟอินสแตนท์ด้วย อยู่ในเครือของฟุก ซินห์ คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมพริกไทยและกาแฟของเวียดนาม

“คอง คาเฟ่” ร้านกาแฟยอดนิยมของคนรุ่นใหม่เวียดนามและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ก็ผลิตกาแฟอินสแตนท์แบบซองออกมาทำตลาดเหมือนกัน ดูเหมือนจะเน้นไปที่กาแฟกลิ่นรสมะพร้าวสูตรต้นตำรับของจีนในไซง่อน(ปัจจุบันคือโฮจิมินห์) นั่นก็คือ “บั๊กซิ่ว อินสแตนท์ ไวท์ คอฟฟี่” นิยมชงเป็นกาแฟเย็นดื่มกัน
บั๊กซิ่ว (Bac Xiu) แปลว่ากาแฟขาว แล้วก็มีการตั้งชื่อให้กาแฟชนิดนี้ว่า เป็นกาแฟผสมผสานสามวัฒนธรรม เวียดนาม,จีน และฝรั่งเศส
แบรนด์ร้านกาแฟดังอย่าง “ไฮแลนด์ส คอฟฟี่” ก็มีกาแฟซอง 3 อิน 1 ได้รับความนิยมในหมู่คอกาแฟท้องถิ่นไม่น้อยเช่นกัน แบรนด์นี้ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1998 เติบโตอย่างรวดเร็วในฐานะร้านกาแฟที่ใช้กาแฟคุณภาพสูง
ต่อมาถูก “จอลลิบี” ร้านอาหารจานด่วนสัญชาติฟิลิปปินส์ เข้าเทคโอเวอร์กิจการ แต่ดูเหมือนว่าความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวเวียดนามไม่ได้ลดลงแต่ประการใด

“คอฟฟี่ คอนเซปท์” (Coffee Concept) เป็นแบรนด์กาแฟอินสแตนท์ในเวียดนาม ผลิตกาแฟซองออกมาหลากหลายรสชาติ รวมไปถึงกาแฟกลิ่นรสมะพร้าวกะทิ และกาแฟรสทุเรียน เช่นเดียวกับ “ร็อค คาเฟ่” (RockCafe’) ที่มีชื่อเสียงจากกาแฟมะพร้าวกะทิ อันเป็นกลิ่นรสยอดนิยมในประเทศนี้
อีกแบรนด์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดไม่น้อยเลยในตลาดกาแฟอินสแตนท์เวียดนามก็คือ “แม็คคอฟฟี่” ที่มีบริษัทเอฟอีเอส เวียดนาม ในเครือฟู้ด เอ็มไพร์ โฮลดิงส์ แห่งสิงคโปร์ เป็นเจ้าของแบรนด์ ถือเป็นบริษัทแรกๆที่ผลิตกาแฟสำเร็จรูปจำหน่ายในตลาดเวียดนามเลยก็ว่าได้
ต่อมาแม็คคอฟฟี่ได้แตกแบรนด์ใหม่ออกเป็น “คาเฟฟู” (Café PHO) เน้นผลิตกาแฟเวียดนามสูตรดั้งเดิม

เซกเมนต์ตลาดกาแฟสำเร็จรูปของเวียดนาม โดยเฉพาะกาแฟซอง เป็นตลาดใหญ่และมีมูลค่ามหาศาล จึงเป็นอีก “สมรภูมิ” ทางธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากทั้งแบรนด์เจ้าถิ่นและแบรนด์ต่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีศักยภาพมากพอที่จะส่งออกสู่ตลาดแมสในต่างประเทศได้อีกด้วย
จัดว่างานหินสุดๆ ทีเดียว…หากว่าแบรนด์ดังระดับโลกหวังจะช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตลาดแบบผูกขาดเดี่ยวๆ
facebook : CoffeebyBluehill