สหรัฐอเมริกาเคาะภาษีนำเข้าไทยอัตรา 19% ต่อลมหายใจผู้ส่งออกและเดินหน้าเศรษฐกิจ

โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ ประธานสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

การเจรจาภาษีตอบโต้ขาดดุลการค้าสหรัฐอเมริกาหรือ “Reciprocal Tariff” ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาทีมไทยแลนด์นำโดยคุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว. กระทรวงการคลัง ยื่นข้อเสนอหลายรอบจนถึงคืนสุดท้ายก่อนเส้นตาย ในที่สุดเช้าวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ประกาศรายชื่อ 70 ประเทศที่ตกลงดีลกับสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยปรับลดภาษีจากร้อยละ 36 เป็นร้อยละ 19 เป็นอัตราเดียวกันกับมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา ขณะที่ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นคู่แข่งส่งออกและการลงทุนสำคัญของไทยอัตราภาษีร้อยละ 20 แต่ผลบังคับใช้ต้องหลังจากประกาศ 7 วัน คือหลังเที่ยงคืนของวันที่ 6 สิงหาคม (ตามเวลาสหรัฐฯ) จะเรียกเก็บอัตราร้อยละ 19 กับสินค้าของไทยบนฐานภาษีเดิมของแต่ละสินค้า (MFM : Most Favored Nation) ซึ่งอัตราใหม่จะยังคงยกเว้นให้สำหรับสินค้าที่ขึ้นเรือ ณ ประเทศต้นทางและอยู่ระหว่างการขนส่งขั้นสุดท้ายมายังสหรัฐฯ จะยังคงเรียกเก็บอัตราภาษีร้อยละ 10

US Harmonized Tariff The White House July 31, 2025 อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา

การที่ไทยได้อัตราภาษีระดับนี้ทำให้เป็นแต้มต่อสามารถแข่งขันและรักษาฐานลูกค้าโดยเฉพาะกับประเทศเวียดนามซึ่งสินค้าคล้ายกันแต่มีราคาค่อนข้างต่ำกว่าไทยเนื่องจากต้นทุนการผลิตต่ำกว่า เช่น ค่าจ้าง วัตถุดิบ ค่าระวางเรือ ฯลฯ ประเด็นที่ต้องเข้าใจภาษีนำเข้าที่ปรับสูงที่ทั้งปธน.ทรัมป์และนายสก็อต เบสเซนต์ (รมว.คลัง) ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเจรจาออกข่าวดีอกดีใจแต่แท้จริงแล้วภาระจะตกอยู่กับผู้บริโภคซึ่งเป็นคนสหรัฐฯ ในช่วงผ่อนปรนที่ผ่านมาราคาสินค้ายังไม่ค่อยปรับตัวแต่หลังจากต้นเดือนกันยายน สินค้าที่นำเข้ามาตุนในสต็อกหมดแล้วจะต้องรับราคาที่บวกภาษีในอัตราสูงจะทำให้ลดทอนการจับจ่ายใช้สอยและการนำเข้าลดลงซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย

ในช่วงผ่อนปรนอัตราภาษีก่อนเดดไลน์ 1 สิงหาคม ซึ่งเรียกเก็บอัตราร้อยละ 10 ต้นทุนภาษียังส่งต่อไปผู้บริโภคไม่มากนักเนื่องจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ต่อรองแบ่งจ่ายภาษีกับผู้ส่งออกไทยสัดส่วนเท่าใดขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจทางการค้า ผู้ส่งออกไทยบางรายถูกกดราคาให้รับภาษีครึ่งหนึ่งหรือบางรายรับไปเต็มร้อย อย่างไรก็ดีอัตราภาษีร้อยละ 19 หรือบางประเทศสูงกว่าการแบ่งจ่ายคนละครึ่งคงทำไม่ได้เพราะ “Net Profit” ของผู้ส่งออกเฉลี่ยประมาณร้อยละ 5 – 6 ภาวะเช่นนี้ภาษีที่เพิ่มจะถูกผลักไปให้ผู้บริโภคอย่างน้อยร้อยละ 9 – 10 หรือมากกว่าจะเป็นเสมือนผลกระทบสะท้อนกลับไปสู่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนอื่นชอบหรือไม่ชอบรัฐบาลนี้แต่ก็ต้องให้เครดิต “Thailand Team” ที่ทราบมีการทำงานอย่างเต็มที่กอปรกับสามารถยุติการต่อสู้ชายแดนกับกัมพูชาซึ่งเป็นเงื่อนไขของ “ทรัมป์” ในการเจรจารอบสุดท้าย ประเด็นที่ต้องติดตามคือการเจรจากับสหรัฐอเมริกาไม่ใช่ “Win-Win Negotiation” แต่เป็นการให้ฝ่ายเดียวจากไทยเพื่อแลกกับดีลอัตราภาษีที่ต่ำกว่าหรือเท่ากับประเทศคู่แข่งด้านส่งออกต้องไปดูว่าเงื่อนไขอัตราภาษีศูนย์ซึ่งไม่ชัดเจนว่าครอบคลุมสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ร้อยละ 90 หรือแบบไม่มีเงื่อนไขซึ่งอาจรวมสินค้าเกษตร ทางเลือกของไทยคงไม่มากเนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่หลายประเทศล้วนเสนอหรือประเคนให้สหรัฐฯ ทั้งนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นคู่ค้าส่งออกอันดับหนึ่งสัดส่วนร้อยละ 18.28 มูลค่ามากกว่า 1.928 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนใน GDP ร้อยละ 10.4 ช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค. – มิ.ย.) มูลค่า 1.116 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 21 หากอัตราภาษีที่ถูกเรียกเก็บสูงกว่าประเทศคู่แข่งจะส่งผลกระทบจนกลายเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

สภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้จัดให้มีการประชุมผลกระทบแรงงานจากภาษีของสหรัฐฯ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมแรงงาน (ก.แรงงาน) ได้นำเสนอโพลสำรวจผลกระทบของผู้ส่งออกและแรงงานจากการปรับขึ้นอัตราภาษีของสหรัฐฯ โดยใช้สมมุติฐานร้อยละ 36 จัดทำช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่าง 945 กิจการในจำนวนนี้เป็นผู้ส่งออกร้อยละ 67 ประกอบด้วย 20 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม ผลสำรวจพบว่าผู้ส่งออกร้อยละ 74 ได้รับผลกระทบตั้งแต่ระดับปานกลาง มากและรุนแรงมาก ผู้ส่งออกระบุว่าอาจต้องปรับแผนการจ้างงาน เช่น การลดค่าล่วงเวลา (OT) หยุดรับพนักงาน-แรงงานใหม่ ลดวันทำงาน ลดสวัสดิการบางส่วนไปจนถึงการเลิกจ้างซึ่งมีกลุ่มตัวอย่าง 246 รายระบุว่าอาจเลิกจ้างคิดเป็นร้อยละ 6.0 กลุ่มเสี่ยง เช่น แรงงานสูงอายุและแรงงานที่มีค่าจ้างสูง (รายละเอียดสามารถแสกนได้จากคิวอาร์โค้ด)

ดังนั้นการที่ไทยได้อัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 19 บวกกับเงื่อนไขที่ต้องประเคนให้สหรัฐฯ เพื่อแลกกับขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเข้าไปดูว่าจะเยียวยาบาดแผลของภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีนำเข้า “ศูนย์” ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมธุรกิจต่างๆ ในโซ่อุปทานตลอดจนถึงเกษตรกรที่อาจได้รับผลกระทบ ข้อตกลงหรือเงื่อนไขเพื่อแลกกับอัตราภาษีนำเข้าที่แข่งขันได้ถึงแม้บางภาคส่วนเจ็บปวดแต่หากไม่ทำจะเจ็บหนักยิ่งกว่า …


 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *