ข่าวใหญ่สะเทือนวงการธุรกิจกาแฟระหว่างประเทศล่าสุดเห็นจะไม่พ้นไปจากกรณียักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มของสหรัฐอย่าง “เคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์” (Keurig Dr Pepper) ทุ่มเงินก้อนโตซื้อกิจการ “เจดีอี พีทส์” (JDE Peet’s) บริษัทกาแฟข้ามชาติชื่อดังจากเนเธอร์แลนด์
ถือเป็นการเทคโอเวอร์ในระดับ “บิ๊กดีล” ที่ชวนให้หลายคนแปลกใจไม่น้อย เพราะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคากาแฟตลาดโลกยังคงผันผวนรุนแรงจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน และขณะที่ทุกภาคส่วนธุรกิจกาแฟก็กำลังหาวิธีบริหารความเสี่ยงจากกำแพงภาษีสุดโหดของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ปลายสิงหาคมที่ผ่านมา เคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ เจ้าของระบบชงกาแฟแคปซูล K-Cup ควักเงินประมาณ 18,400 ล้านดอลาร์สหรัฐ ประกาศซื้อกิจการเจดีอี พีทส์ เมื่อประเมินจากมูลค่าเงินแล้ว จัดว่าเป็นดีลควบรวมกิจการที่ใหญ่สุดของยุโรปในรอบกว่า 2 ปีทีเดียว
ตามข่าวบอกว่า บริษัทที่เกิดจากการควบรวมกิจการ จะ “แตกธุรกิจ” ออกเป็น 2 ส่วนแบบสแตน-อะโลน คอมพานี คือ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจกาแฟ กับบริษัทธุรกิจเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์

ในส่วนธุรกิจกาแฟ จะนำแบรนด์กาแฟในสังกัดของเคอริกฯ กับของเจดีอี พีทส์ มาตั้งเป็นบริษัทใหม่ ก่อนนำเข้า “จดทะเบียน” ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ เช่นเดียวกับบริษัทเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์ใหม่ จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน
ทิม โคเฟอร์ ซีอีโอของเคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ จะรับตำแหน่งซีอีโอของบริษัทเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์แห่งใหม่ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐเท็กซัส ส่วนสุภัญชู พริยะดาร์ศรี ซีเอฟโอของเคอริกฯ ซึ่งเป็นนักธุรกิจเชื้อสายอินเดีย จะไปกินตำแหน่งซีอีโอของบริษัทกาแฟใหม่ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐแมสซาชูเซตส์
ว่ากันว่า ดีลนี้ได้รับไฟเขียวจาก “เจเอบี โฮลดิ้ง” กลุ่มการค้ายักษ์ใหญ่ของตระกูลไรมันน์จากเยอรมนี ที่ถือหุ้นเกือบ 70% ในเจดีอี พีทส์ และถือหุ้นในคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ อยู่ 4% ขณะที่เมื่อปลายปีที่แล้วมีรายงานข่าวว่า กลุ่มเจเอบี โฮลดิ้ง วางแผนถอนตัวจากธุรกิจเครื่องดื่ม หันไปลงทุนในธุรกิจประกัน

ผู้บริหารระดับสูงฝั่งเคอริกฯ ให้สัมภาษณ์บีบีซีแห่งอังกฤษว่า การซื้อกิจการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างธุรกิจกาแฟที่มีความ “ยืดหยุ่น” และ “หลากหลาย” ก่อให้เกิดบริษัทกาแฟระดับแชมป์โลก (global coffee champion) ในห้วงเวลาที่อุตสาหกรรมกาแฟกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาภาษีศุลกากรและราคาเมล็ดกาแฟที่สูงลิ่ว
เป็นที่น่าสังเกตว่าบิ๊กดีลสะเทือนวงการธุรกิจกาแฟโลกครั้งนี้ เกิดขึ้นไม่นานหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรต่อบราซิลในอัตรา 50% ซึ่งใครๆก็รู้ว่าแซมบ้าบราซิลเป็นชาติผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ผู้บริหารของทั้งเคอริกฯและเจดีอี พีทส์ ก็เคยออกโรงเตือนถึงผลกระทบจากการปรับตัวขึ้นของราคากาแฟในตลาดโลก
เคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ กับเจดีอี พีทส์ เป็นสองบริษัทใหญ่ที่มีแบรนด์กาแฟและเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์อยู่ในพอร์ตมากมายทีเดียว ดังนั้น เมื่อมีการรวมกิจการกันแล้วแยกเป็นสองบริษัทอย่างเป็นเอกเทศอย่างนี้ คงส่งแรงกระเพื่อมทางขีดแข่งขันไปถึงบิ๊กเนมของวงการอย่าง “เนสท์เล่” ไม่มากก็น้อย

อย่างเคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ บริหารแบรนด์อยู่ถึง “125 แบรนด์” ด้วยกัน เช่น ผลิตภัณฑ์และเครื่องชงกาแฟ K-Cup ภายใต้แบรนด์เคอริก, โรงคั่วควบร้านกาแฟกรีน เม่าเทน คอฟฟี่ โรสเตอร์ส, เครื่องดื่มบรรจุขวดที่คุ้นชื่อกันอยู่หลายยี่ห้อ อาทิ เช่น ด็อกเตอร์ เปปเปอร์, เซเว่นอัพ, แคนาดา ดราย,สแนปเปิล, เอแอนด์ดับบลิว,มอทส์, เพนนาฟี่ และอื่นๆ อีกมาก เรียกว่าครอบคลุมเซกเม้นต์กาแฟ,ชา,น้ำดื่ม,น้ำอัดลม,น้ำผลไม้,เครื่องดื่มเกลือแร่, เครื่องดื่มให้พลังงาน และมิกเซอร์
เคอริกฯ ยังเป็นเจ้าของเชนร้านกาแฟ “ทัลลีส์ คอฟฟี่” ขณะที่ระบบชงกาแฟแบบซิงเกิ้ลเสิร์ฟ “K-Cup” ก็มียอดจำหน่ายสูงมากในตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
ส่วนเจดีอี พีทส์ ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน เป็นบริษัทกาแฟระดับโลกทีเดียว มีแบรนด์ในพอร์ตระดับ “ไอคอนิก” ที่รู้จักกันดีราวๆ 50 แบรนด์ เช่น พีทส์ คอฟฟี่, ลอร์, จาคอปส์, ดาวเออร์ เอ็กเบิร์ตส์, เคนโก้, พีลาโอ, โอลด์ ทาวน์, ซูเปอร์, มอคโคน่า, ทาสซิโม และเซนซิโอ ดูจากรายชื่อแล้วถือว่าทำธุรกิจครบวงจรจริงๆ ทั้งร้านกาแฟ, โรงคั่วกาแฟ, กาแฟคั่วบด, กาแฟสำเร็จรูป, แคปซูลกาแฟ ยันระบบชงกาแฟแบบซิงเกิ้ลเสิร์ฟ

เจดีอี พีทส์ จัดเป็นหนึ่งใน “เจ้าพ่อ” เทคโวอร์รายใหญ่ในวงการธุรกิจกาแฟโลก เข้าไปซื้อกิจการแบรนด์กาแฟพิเศษสหรัฐ 2 แห่ง คือ สตัมป์ทาวน์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ส กับอินเทลลิเจ้นท์เซีย คอฟฟี่ นอกจากนั้นซื้อกิจการโอลด์ทาวน์ ไวท์ คอฟฟี่ แบรนด์กาแฟดั้งเดิมของมาเลเซีย ผ่านทางจาคอปส์ ดาวเออร์ เอ็กเบิร์ตส์ โฮลดิ้งส์ เอเชีย เมื่อปีค.ศ. 2017
โดยภาพรวมแล้วธุรกิจกาแฟกับธุรกิจเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์ มีอัตราเติบโตต่อเนื่องในทุกๆปี ไม่ใช่เฉพาะสหรัฐอเมริกา แต่รวมไปถึงทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ธุรกิจกาแฟในเมืองลุงแซมดูจะเจอปัญหาใหญ่กว่า ทั้งจากราคากาแฟที่สูงขึ้น และจากนโยายภาษีของท่านผู้นำทรัมป์
ดังนั้น ผู้เขียนเห็นว่า การควบรวมกิจการแล้วแตกเป็นสองบริษัทอิสระ ย่อมลด “ความเสี่ยง” ทางการเงินให้กับบริษัทแม่และผู้ถือหุ้นไปได้ส่วนหนึ่ง

ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับราคาเมล็ดกาแฟที่สูงขึ้น อันเป็นผลกระทบจากภาษีศุลกากร เคอริกฯได้จัดแคมเปญล็อกราคาสินค้าในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เรียกว่า “Price Lock Event” หวังกระตุ้นให้ลูกค้าสมัครใช้บริการส่งกาแฟอัตโนมัติ ซึ่งมีการล็อกราคาไว้จนถึงสิ้นปีนี้
ขณะเดียวกัน ซีอีโอของเจดีอี พีทส์ เคยให้ความเห็นว่า บริษัทอาจต้องขึ้นราคากาแฟในสหรัฐ เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์ แต่ผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีต่อบริษัท มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะ “กาแฟบราซิล” มีสัดส่วนการใช้งานของบริษัทไม่ถึง 30%
ผู้เขียนอยากจะบอกว่า แม้มีการใช้กาแฟบราซิลในสัดส่วนไม่ถึง 1 ใน 3 แต่ก็ถือว่าเยอะมากแล้ว ดังนั้น วาทะของ ซีอีโอของเจดีอี พีทส์ น่าจะเป็นการพูดในเชิงจิตวิทยา เพื่อลดผลกระทบต่อราคาหุ้นมากกว่า

สองปัจจัยลบกระทบตลาดจากราคากาแฟที่สูงขึ้นและกำแพงภาษีทรัมป์นี่แหละครับ ที่ทำให้มีรายงานข่าวว่า “โคคา-โคล่า” ยักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มน้ำอัดลมแห่งสหรัฐ อยู่ระหว่างเจรจาขายกิจการ “คอสต้า คอฟฟี่” เชนร้านกาแฟดังของอังกฤษ ในวงเงินเพียง 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเคยทุ่มเงินซื้อมาในราคา 4,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีค.ศ. 2019 ถือว่าลดราคาให้เกือบครึ่งหนึ่งทีเดียว
แต่ก็อย่างที่ ทิม โคเฟอร์ ซีอีโอของเคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ ได้ให้คำอธิบายบิ๊กดีลล่าสุดนี้เอาไว้อย่างชัดเจนว่า นี่คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม!
facebook : CoffeebyBluehill








