แผนการรับมือบริหารจัดการกับวิกฤติ คือแผนงานที่ผู้ประกอบการธุรกิจไม่ควรละเลย

คอลัมน์: สื่อสารการตลาดตามใจฉัน

โดย อ.ลี บราลี ที่ปรึกษาธุรกิจสร้างภาพลักษณ์องค์กรและสื่อสารการตลาด

ผู้ประกอบการธุรกิจแทบจะทุกประเภท เจ้าของแบรนด์ รวมทั้งผู้บริหารองค์กรบริษัทห้างร้านต่างๆ มักจะพุ่งเป้าความสนใจไปยัง แผนการตลาด การทำโปรโมชั่นเพื่อเพิ่มยอดขายทุกๆเดือนมากกว่าจะเรียนรู้ถึงการวางแผนรับมือกับสิ่งที่ยังไม่เกิด และไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ทำให้เสียโอกาสในการรับมือเมื่อภาวะวิกฤติต่างๆไม่ว่าจะเป็นจากภัยธรรมชาติทุกรูปแบบ โรคระบาดต่อเนื่อง อุบัติเหตุ โจรกรรม ความขัดแย้งทางการเมือง สงคราม พนักงานสไตร้และก่อจราจล สินค้ามีปัญหาทำให้ผู้บริโภคเจ็บป่วยเสียชีวิต ฯลฯ

เมื่อมีเหตุเข้ามาและไม่ได้วางแผนรับมือไว้ ย่อมเกิดความเสียหายกับทรัพย์สิน สินค้า บุคลากร หรือคนในครอบครัวอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งนี้จากเหตุการณ์จริงมหาอุทกภัยเกิดขึ้นกับประชาชนในภาคใต้ หลายจังหวัดโดยเฉพาะ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ได้รับความเสียหายมหาศาล ทั้งทรัพย์สินและชีวิตผู้ประสบภัยหลายร้อยคน ถึงน้ำจะลดลงแล้ว แต่การเข้าเคลียร์ซากปรักหักพังทั้งในบ้านนอกบ้าน ล้วนต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูพักใหญ่

ผู้เขียนในฐานะที่มีอาชีพเป็นที่ปรึกษาธุรกิจหลายด้าน แต่มีอยู่ด้านหนึ่งที่ได้จัดทำเทรนนิ่งอยู่บ่อยๆ คือการฝึกอบรมเป็นคอร์ส 1 วันเต็มให้กับผู้บริหารระดับ C level และผู้บริหารในองค์การทุกฝ่าย ก็คือ คอร์ส Issue & Crisis Management การบริหารจัดการประเด็นและการรับมือกับภาวะวิกฤติ ที่จัดอบรมให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน มากกว่า 30 ราย  จึงขอนำมาย่อยสเกลลงให้เอาไปเตรียมเป็นแผนรับมือกับสถานการณ์วิกฤติที่ไม่ใช่แค่น้ำท่วมอย่างเดียว ใช้กันแต่ละประเภทธุรกิจ ที่แต่ละท่านสามารถลงรายละเอียดกับธุรกิจของท่านได้เช่นกัน

1.แผนเตรียมความพร้อมและการฟื้นฟูธุรกิจ

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ การวางแผนรับมือล่วงหน้า ควรจะอยู่ในแผนการทำงานทุกปี เพื่อลดความตื่นตระหนกและความเสียหายจาก เหตุวิกฤติการณ์ที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่

1.จัดทำแผนการ ความเสี่ยงหากเกิดภัยจากธรรมชาติต่างๆ และประเมินว่าธุรกิจที่คุณทำมีความเสี่ยงที่จะเผชิญเหตุอะไรได้บ้าง

  • สำรวจสถานที่ของห้างร้าน บริษัท ว่าหากมีเหตุให้ต้องอพยพ จะอพยพไปที่ใด (เลี่ยงการหวังพึ่งจากหน่วยงานรัฐหรืออื่นๆไปก่อน ถ้าไม่ต้องอพยพจะทำอย่างไร ย้ายขึ้นไปทำงานหรือโอเปอเรทธุรกิจได้ที่ใดบ้าง
  • ถ่ายภาพทรัพย์สินและสต็อกสินค้าไว้เป็นหลักฐานเคลมประกัน
  • วางแผนกำลังคน หากมีเหตุวิกฤติ ผู้บริหารท่านใดจะเป็นคนควบคุมทุกอย่าง ซึ่งแนะนำให้ตั้งทีมเฉพาะกิจเอาไว้ ที่สำคัญคีย์แมนทุกคนจะต้องสามารถติดต่อได้ตลอด 24 ช.ม. ไม่สามารถปิดมือถือ หลังเลิกงานได้ไม่ว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นแล้วหรือไม่
  • มอบหมายหน้าที่ ใครจะรับผิดชอบส่วนใด จะทำงานจากที่ไหนต้องระบุลงไว้ในแผนงานด้วย เพราะในกรณีที่ไม่สามารถเข้าร้าน เข้าบริษัทได้
  • กำหนดแผนงาน ว่าใครมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง เมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤติกับองค์กร การกำหนดไว้ล่วงหน้า จะทำให้รู้บทบาทของตนเอง เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ตื่นตระหนก ทำอะไรไม่ถูก
  • ฝึกซ้อมแผนและอัพเดทขั้นตอนหรือทีมงานหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆเป็นประจำทุกปี

2.สำรองข้อมูลและเอกสารสำคัญ

  • สแกนเอกสารธุรกิจ (ทะเบียนการค้า ใบกำกับภาษี สัญญา) เก็บไว้บน Cloud
  • บันทึกข้อมูลลูกค้า ซัพพลายเออร์ ให้เข้าถึงได้จากทุกที่
  • เก็บเอกสารสำคัญในซองกันน้ำหรือไว้ที่สูง

3.วางแผนการเงินฉุกเฉิน

  • ตั้งเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือน สำหรับค่าใช้จ่ายคงที่
  • ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยว่าคุ้มครองภัยอะไรบ้าง อะไรคุ้มครองอะไรไม่คุ้มครอง หากจุดไหนยังไม่มีความคุ้มครอง ให้จัดการให้เรียบร้อย
  • เตรียมเงินสดไว้บางส่วน กรณีระบบธนาคารใช้ไม่ได้
  • ตั้งจำนวนเงินเพื่อเหตุฉุกเฉินเอาไว้และมีผู้ควบคุมที่สามารถทำการอนุมัติเงินได้โดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น

4.สร้างเครือข่ายและช่องทางสำรองกรณีการจำหน่ายสินค้า หากหน้าร้านค้ามีปัญหาไม่สามารถเปิดได้

  • มีช่องทางขายสินค้าออนไลน์เป็นทางเลือก (Facebook, Line, Shopee, TikTok Instagram)
  • ติดต่อเครือข่ายชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่
  • หาคลังสินค้าหรือพื้นที่สำรองในโซนปลอดภัย
  • เตรียมระบบ หรือช่องทางการสื่อสารที่สามารถใช้ได้ในกรณีที่เกิดวิกฤติ

5.เตรียม Spokepersons ขององค์กร กรณีต้องให้ข้อมูลข่าวสารกับสื่อมวลชนทุกแขนง

  • เตรียมประเด็นที่ควรพูดในการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริง
  • ฝึกซ้อมการพูดต่อหน้าสาธารณชน สื่อมวลชน

2.ฟื้นฟูธุรกิจหลังเกิดวิกฤติการณ์

1.ดูแลความปลอดภัยก่อนเข้าพื้นที่

  • ตรวจสอบโครงสร้างอาคารว่ามั่นคงปลอดภัย ควรใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาตรวจสอบ
  • ระวังไฟฟ้าลัดวงจร ปิดเบรกเกอร์หลักก่อนเข้าพื้นที่
  • สวมอุปกรณ์ป้องกัน (รองเท้าบูท ถุงมือยาง หน้ากาก)

2.ทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ

  • ตักโคลนออกก่อน แล้วฉีดน้ำแรงดันสูง  กรณีน้ำท่วมสูง
  • ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อผสมคลอรีนล้างพื้นผิวทั้งหมด
  • เปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศ ใช้พัดลมเป่าให้แห้งเร็ว
  • ตากเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้แห้งสนิทก่อนใช้งาน (ตัวอย่าง: ร้านอาหารในพัทลุงหลายร้านล้างทำความสะอาดใช้เวลา 3-5 วัน ก่อนเปิดให้บริการใหม่)

3.ประเมินความเสียหายและจัดลำดับความสำคัญ

  • แยกของที่ซ่อมได้/ซ่อมไม่ได้ ของที่ต้องทิ้ง
  • ซ่อมแซมอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ผลิตรายได้ก่อน (เครื่องจักร ตู้แช่ เตาอบ)
  • ติดต่อบริษัทประกันเพื่อประเมินความเสียหาย มีรูปภาพหลักฐานชัดเจน

4.ฟื้นฟูธุรกิจเป็นขั้นตอน

  • เริ่มจากบริการ/สินค้าหลักที่ทำรายได้ได้เร็วที่สุดก่อน
  • แจ้งลูกค้าเก่าผ่าน Social Media ว่ากลับมาเปิดให้บริการแล้ว
  • ปรับโมเดลธุรกิจชั่วคราว เช่น ร้านอาหารอาจทำ Delivery อย่างเดียวก่อน
  • ขอคุยกับเจ้าหนี้เพื่อผ่อนผันการชำระหนี้หรือปรับเงื่อนไข (หลายธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย)

ข้อคิด: ธุรกิจที่รอดพ้นวิกฤตได้มักเป็นธุรกิจที่มี “แผน B” พร้อมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเงินสำรอง ช่องทางขายสำรอง หรือเครือข่ายที่ช่วยเหลือกันได้ การเตรียมพร้อมวันนี้ คือการลดความเสียหายเมื่อมีเหตุการณ์วิกฤติเกิดขึ้น


**NOTE: หากมีองค์กร หน่วยงานใดที่ต้องการเรียนรู้และจัดเตรียมแผนงานอย่างเป็นระบบ สามารถจองคอร์สฝึกอบรม การบริหารจัดการประเด็นในภาวะวิกฤติ เป็นเวลา 1 วันเต็ม กับอาจารย์ลี ได้ค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *